ปกาเกอะญอ โก อินเตอร์
โพสเมื่อวันที่ 05 มิ.ย 2555 15:14 น.
เมื่อหลายปีก่อน มีนักดนตรีพื้นบ้านชาวกะเหรี่ยงคนหนึ่งออกเดินทางพร้อมเตหน่าคู่ใจ เพื่อขับกล่อมบทเพลงแห่งขุนเขาและวิถีคนชายขอบให้คนเมืองได้เข้าใจพวก เขามากขึ้น วันนี้ไม่เพียงแต่คนเมืองจะเข้าใจ แต่ยังพูดถึงเขาในฐานะศิลปินนักสื่อสารที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเส้น เสียงทางดนตรีได้เป็นอย่างดี
ให้ คนเมืองได้เข้าใจพวกเขามากขึ้น วันนี้ไม่เพียงแต่คนเมืองจะเข้าใจ แต่ยังพูดถึงเขาในฐานะศิลปินนักสื่อสารที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเส้น เสียงทางดนตรีได้เป็นอย่างดีหลายคนรู้จัก ชิ - สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ในฐานะนักร้องนักดนตรีพื้นบ้านมาบ้างแล้ว เขาโด่งดังมาจากการเป็นศิลปินชาวกะเหรี่ยงที่มีอัลบั้มของตัวเองอย่าง "นกเขาป่า" และ "เตหน่าแลมิตร" พร้อมกับนำบทเพลงเหล่านั้นเดินสายไปร้องตามที่ต่างๆ ทั้งในเมืองกรุงและในป่าเพื่อให้กำลังใจกันและกัน
หลายคนรู้จัก ชิ - สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ในฐานะนักร้อง นักดนตรีชาวกะเหรี่ยงคนนี้ไม่ธรรมดาเพราะเขาเป็นหนุ่มปกาเกอะญอที่มีการ ศึกษาสูงถึงระดับปริญญาโท ทั้งยังทำงานเป็นนักพัฒนาชุมชนมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังมีอีกบทบาทที่เขาเพิ่งเริ่มทำมาได้ไม่นานนัก นั่นคือการเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) วิทยาเขตองครักษ์
ตอนนี้กับบทบาทของอาจารย์ สอนสาขาอะไรคะ
เป็นหลักสูตรภายใต้สังกัดของคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นหลักสูตรใหม่ที่ทำขึ้นมาเป็นวิทยาลัยชื่อว่า โพธิวิชชาลัย โพธิแปลว่าความรู้ วิชชาแปลว่าปัญญา วิทยาลัยที่เราเปิดขึ้นมานี้นอกจากสอนให้เด็กได้ความรู้แล้ว ยังสามารถเอาความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ด้วย นั่นคือการมีวิชชาหรือมีปัญญา ในบทเรียนเน้นการสอนการทำเกษตรพอเพียง ทำไร่นาสวนผสม และเรียนรู้การจัดการด้านอื่นๆ ที่สามารถนำไปพัฒนาบ้านเกิดของตนเองได้ ตอนนี้มีอยู่ 2 ที่ คือ จ.สระแก้วกับแม่สอด จ.ตาก ที่สระแก้วมีเนื้อหาเกี่ยวกับวิถีวัฒนธรรมของพี่น้องกัมพูชาและพี่น้องลาว ส่วนแม่สอดก็จะมีเรื่องของคนชนเผ่ากับคนพม่าเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเราเตรียมรองรับอาเซียนที่กำลังจะมาถึง
สระแก้วเขาทำเรื่องของควายกับนา แต่ที่แม่สอดพยายามจะเปิดห้องเรียนที่เป็นการทำไร่หมุนเวียน น่าจะเป็นแห่งแรกที่มีไร่หมุนเวียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าพูดถึงคนชนเผ่าหรือคนกะเหรี่ยง ก็ต้องมีวิถีการทำไร่หมุนเวียนแบบนี้เคียงคู่กันไป แต่คนบางกลุ่มไม่เข้าใจเพราะมองว่าเป็นการทำไร่เลื่อนลอย เราก็พยายามสื่อสารออกไปว่ามันไม่ใช่แบบนั้น จริงๆ แล้วการทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียนถือเป็นเกษตรกรรมแบบยั่งยืนที่ได้รับการวิจัย และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าระบบเกษตรแบบนี้ช่วยยับยั้งเรื่องของภาวะโลกร้อน ได้ในระดับที่ดีระบบหนึ่ง ไม่เฉพาะประเทศไทยแต่อเมริกาใต้ก็ทำไร่หมุนเวียน ฟิลิปปินส์ก็ทำ แอฟริกาก็ทำ
แล้วตอนนี้สอนประจำที่ไหน
เนื่องจากสองปีแรกเด็กต้องไปเรียนที่องครักษ์ ตอนนี้เพิ่งเปิดหลักสูตรมีแค่เด็กปี 1 กับปี 2 ไม่มีปี 3-4 ผมก็ต้องไปสอนที่องครักษ์ก่อน ผมเองก็เพิ่งได้เข้ามาทำงานตรงนี้ได้สองปี ก็เลยต้องมาสอนที่นี่ก่อน ส่วนสองปีหลังผมตามไปสอนที่แม่สอด ช่วงแรกนี้ก็สอนตั้งแต่ปี 1-4 เลย แต่หลังจากนั้นพอมีบัณฑิตรุ่นแรกออกมาแล้วผมก็จะประจำอยู่ที่แม่สอดเลย สอนเฉพาะปี 3 และปี 4
นอกจากเป็นศิลปินและเป็นอาจารย์แล้ว ยังมีงานด้านอื่นๆ อีกหรือเปล่าคะ
ก็ทำโครงการพัฒนาชุมชนด้วย คือการเป็นอาจารย์ไม่ได้มีหน้าที่แค่สอนหนังสือในห้องเรียน แต่เราต้องแสวงหาองค์ความรู้จากหลายๆ แหล่งเพื่อที่จะเอาความรู้เหล่านั้นมาให้เด็ก จะได้เอามาเป็นวิชชาให้พวกเขาได้ แต่ความรู้เหล่านั้นถ้าเราไปเอาจากชาวบ้านมาอย่างเดียว ผมว่าเป็นการเอาเปรียบชุมชนมากเกินไป ก็เลยคิดว่าเวลาที่จะเข้าไปเรียนรู้อะไรกับชาวบ้านก็จะพยายามทำเป็นโครงการ พัฒนาเข้าไปให้หมู่บ้านนั้นๆ ด้วย ไปร่วมกับชุมชนเพื่อที่เขาเองก็จะเป็นฝ่ายรับประโยชน์ด้วย เราต้องเป็นผู้ให้ด้วย ไม่ใช่ผู้รับอยู่ฝ่ายเดียว เท่าที่ทำมาก็มีโครงการหลายๆ อย่าง เช่น ทำเรื่องค่ายวัฒนธรรมกับชุมชน ทำเรื่องงานวิจัยความหลากหลายของพืชพรรณในชุมชน เพื่อที่เขาจะได้เก็บสะสมข้อมูลว่าในชุมชนตัวเองมีพืชพรรณอะไรบ้าง มีวัฒนธรรมอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ วัฒนธรรม และ วิถีวัฒนธรรมที่เป็นเรื่องการผลิต การทำมาหากินของเขา
แสดงว่าได้เดินทางบ่อยๆ ไปที่ไหนมาบ้าง
ก็ไปตามต่างจังหวัด ตามชุมชนชายขอบส่วนใหญ่ก็จะเป็นพื้นที่ชุมชน-ชนเผ่า ทั้งในและต่างประเทศ เดินทางไปให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ไปร่วมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แลกเปลี่ยนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับพี่น้องในชนเผ่าตัวเอง เผ่าอื่น และคนข้างนอก รวมถึงต่างประเทศด้วย ในส่วนของต่างประเทศก็ไปหลายที่ อย่างยุโรปก็มีสวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน อิตาลี แล้วก็ไปอเมริกาได้ไปที่ฮาวาย ส่วนในเอเชียก็มีสิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย พม่า ยกเว้นลาวที่ยังไม่ได้ไปสักที (หัวเราะ) เราก็ไปดูหลายๆ อย่าง บางงานก็เป็นงานเชิงวัฒนธรรม บางงานก็เป็นเชิงสิทธิ
ส่วนตัวเคยได้ไปสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิของชนเผ่า อย่างสวิตเซอร์แลนด์เราไปที่เจนีวา เพราะในเจนีวามีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของ UN อยู่ที่นั่น ไปคุยในเรื่องของสิทธิ พวกปฏิญญาว่าด้วยเรื่องสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง และสถานการณ์ที่ประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง ควรจะขับเคลื่อนอะไรกันต่อ ก็มีเวทีให้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันไป จัดกันทุกปีแต่ผมไม่ได้ทุกปีหรอกนะ เพราะไปแต่ละครั้งเราต้องสมัครเข้าไปและต้องมีประเด็นเตรียมเนื้อหาเพื่อที่ จะเอาไปนำเสนอ
นอกจากไปสัมมนาแล้ว ได้ถือโอกาสท่องเที่ยวด้วยหรือเปล่า
มันควบคู่กันไปนะ แต่ละประเทศเขาก็มีจุดเด่นตามวัฒนธรรมที่ต่างกันไป อย่างที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา เขาเป็นชนเผ่าชาวเกาะ มีพวกฟิจิ ตองก้า ซามัว เป็นกลุ่มคนดั้งเดิมที่นั่นที่อยู่กับน้ำอยู่กับเกาะ อยู่กับต้นมะพร้าว ก่อไฟด้วยวิธีดั้งเดิมตามภูมิปัญญาท้องถิ่น เขาทำได้ดีมากเลย เขาพยายามแสดงอัตลักษณ์หรือตัวตนออกมาชัดเจน ซึ่งในตอนนี้ฮาวายเป็นเมืองเจริญแล้ว ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่โด่งดัง แต่ว่าจุดขายของเขานอกจากทรัพยากรธรรมชาติ มีทะเล มีภูเขาแล้ว ยังมีส่วนของวัฒนธรรมความเป็นชนเผ่าที่มีอยู่หลากหลาย เป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่งด้วย คือเขาไม่ได้เน้นขายเฉพาะผลผลิต แต่รัฐบาลเขาสนับสนุนทั้ง Input และ Process เขาไม่หยิบฉวยเฉพาะ Output ที่เป็นสินค้าของชาวบ้านแล้วเอามาขายนะ แต่เขามองว่าการที่คุณจะได้ Output มา มันต้องมี Input ก่อน แล้วมีกระบวนการต่างๆ ที่ต้องสนับสนุนเข้าไป รัฐเขาดูแลทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นทาง
แต่บ้านเรายังไม่สนใจ Input และ Process สนใจแต่ Output ของการผลิตที่ได้ แล้วโปรโมทแต่ Output ไม่ค่อยลงทุน คือพูดง่ายๆ ว่านายทุนด้านการท่องเที่ยวบ้านเราทำงานน้อยไปหน่อยและฉาบฉวยมากไปหน่อย ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งวัฒนธรรมมันจะตาย เพราะเหมือนกับว่าคุณไม่เคยไปรดน้ำ ไม่ใส่ปุ๋ย ไม่ตัดแต่งกิ่ง รอแต่จะเด็ดผลอย่างเดียว ซึ่งต่างจากอเมริกาที่เขาพยายามจะหล่อเลี้ยงวัฒนธรรมของชนเผ่าดั้งเดิมเอา ไว้ให้ดีที่สุด นั่นทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของเขามันเป็นไปอย่างยั่งยืนมากกว่าของเรา และมันก็ทำให้คนรุ่นใหม่ภูมิใจในความเป็นชนเผ่าของตัวเองมาก พอเราไปถึงฮาวายนะเวลาทักทายจะไม่พูด Hello แต่ทุกคนต้องทักทายว่า Aloha ซึ่งเป็นภาษาฮาวาย มีอยู่บางเกาะที่แบบว่าถ้าคุณพูดภาษาชนเผ่าของเขาไม่ได้ คุณก็เข้าไปเกาะนั้นไม่ได้
เพราะฉะนั้นในแง่การท่องเที่ยว เราไปเที่ยวได้แต่ต้องเคารพคนพื้นถิ่น ต้องรู้ว่าเที่ยวอย่างไรที่เราจะไม่ไปเปลี่ยนแปลงเขา คืออยากให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้นะ คือผมไม่เคยไปเที่ยวเพื่อ Relax เที่ยวเพื่อสบายแต่ไปเที่ยวเพื่อเรียนรู้ แล้วโปรแกรมที่ไปส่วนใหญ่ไม่ใช่โปรแกรมทัวร์อะไรแบบนั้นนะ แต่เป็นโปรแกรมที่ได้เรียนรู้ตลอด สำหรับผมการเรียนรู้คือการท่องเที่ยว เหมือนเราอ่านหนังสือถ้าเราอ่านแล้วเราเพลิดเพลิน เราได้เรียนรู้ นั่นคือการท่องเที่ยวแล้ว ถ้าเราไปเที่ยวแล้วเรียกร้องแต่ความสบาย ไปถึงหมู่บ้านชนเผ่าแล้วบอกห้องน้ำไม่ดี ผ้าห่มไม่สะอาด เตียงนอนไม่ดี น้ำไม่อุ่น นี่คือคุณกำลังบีบให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงไปจากตัวของตัวเอง แต่ว่าถ้าเขาอยากเปลี่ยนเองนั่นอีกเรื่องหนึ่ง เขาก็มีสิทธิที่จะเปลี่ยน แต่อย่าไปยัดเยียด ปล่อยให้เปลี่ยนแปลงช้าๆ
เท่าที่เดินทางมาประทับใจที่ไหนมากที่สุด
ผมว่าผมชอบฮาวาย ชอบมากกว่าสวิตเซอร์แลนด์ เพราะรู้สึกว่าที่สวิตเซอร์แลนด์มันเซตเยอะเกินไป ทุกอย่างเป๊ะๆๆ มีกรอบ ดูมีแพทเทิร์นตลอด แต่ฮาวายแม้เป็นเมืองพัฒนาแล้วแต่ว่ามันมีวิถีของเขาอยู่ ไปบางโซนจะเห็นวิถีคนรวย บางโซนจะเป็นวิถีคนจน คือมันมีความหลากหลายสูง มีภูเขา มีทะเล มีภาษามากมายให้ศึกษา
แต่อย่างที่บอก ประเทศเขาจัดการได้ดีมีความเข้มแข็งของคนชนเผ่าพื้นถิ่น แต่บ้านเรากว่าจะเห็นภาพนี้คงอีกนาน
ที่มา
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/society/20120602/454522/%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B8%8D%E0%B8%AD-%E0%B9%82%E0%B8%81-%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C.html
|