จี้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้-พบตะกั่วปนเปื้อนในตะกอนดินปริมาณสูง
โพสเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2555 08:50 น.
จี้รัฐบาลเร่งฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้-พบตะกั่วปนเปื้อนในตะกอนดินปริมาณสูง
เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่สภาคริสตจักรในประเทศไทย กลุ่มกรีนพีซ ร่วมกับโครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา และตัวแทนชุมชนหมู่บ้านคลิตี้ล่าง แถลงเรื่อง 14 ปี คลิตี้รอคอย ถึงเวลารัฐต้องแก้ไขจัดการ พร้อมทั้งเปิดผลวิเคราะห์น้ำ และตะกอนดินลำห้วยคลิตี้ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ในปีพ.ศ.2555
นายสุรชัย ตรงงาม ผอ.โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ชาวบ้านคลิตี้ล่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารตะกั่วได้ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องบริโภคน้ำ และปลาจากลำห้วยที่ปนเปื้อนสารตะกั่ว ทำให้ชาวบ้านมีสารตะกั่วสะสมอยู่ในเลือดสูงกว่าคนปกติ เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ถึงแม้จะสร้างฝายหินทิ้งที่ใช้ดักตะกอนใต้เหมือง เพื่อตักตะกอนดินไปฝังกลบ โดยสร้างก่อนถึงหมู่บ้านคลิตี้ล่าง 2 จุด มีระยะห่างจากเหมือง 2 กิโลเมตร และ 6 กิโลเมตร ดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2542 แต่กรมควบคุมมลพิษและเจ้าของกิจการเหมือง กลับไม่ตักตะกอนดินไปฝังกลบตามแผน ทำให้สารตะกั่วรั่วไหลสู่ชุมชนและระบบนิเวศ โดยการศึกษาติดตามการปนเปื้อนล่าสุดระบุว่า ฝายหินไม่สามารถแก้ไข หรือป้องกันปัญหาได้
นายพลาย ภิรมย์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า จากผลศึกษาวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในลำห้วยคลิตี้และดินที่ถูกน้ำ ท่วม เมื่อเดือนก.พ.2555 โดยสำรวจตั้งแต่ต้นน้ำเหนือโรงแต่งแร่ 2 กิโลเมตร จนถึงห้วยคลิตี้ล่างห่างจากโรงแต่งแร่ 11.5 กิโลเมตร พบสารตะกั่วปนเปื้อนในตะกอนดินบริเวณพื้นผิวมากทุกตัวอย่าง ประมาณ 3,384-4,363 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มากกว่าค่าพื้นฐานที่พบได้ตามธรรมชาติประมาณ 113-145 เท่า โดยเฉพาะปลายลำห้วยที่พบมากกว่าบริเวณฝายหินทิ้งที่ใช้ดักตะกอน เพราะถูกกระแสน้ำพัดพาไป
จากนั้นทั้งหมดร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้อง ระบุว่า 1.ให้กรมควบคุมมลพิษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้อย่างเร่งด่วน โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของชุมชนคลิตี้ล่าง และภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 2.ให้กรมควบคุมมลพิษเรียกร้องค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมทั้งค่าเสียหายต่างๆ ที่จะใช้สำหรับการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้จากผู้ที่ก่อมลพิษ
3.ให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง นำกรณีการปนเปื้อนสารตะกั่วห้วยคลิตี้เป็นบทเรียนสำหรับบริหารจัดการ แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ และข้อคำนึงต่อการอนุญาตโครงการอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะประเด็นต้นทุนที่แท้จริงของการทำอุตสาหกรรมที่ก่อผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ค่าใช้จ่ายในการเยียวยา และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเป็นต้น ที่ประชาชนกลับต้องเป็นผู้แบกรับภาระดังกล่าวแทนผู้ก่อมลพิษ
4.ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมควบคุมมลพิษ เร่งกำหนดและประกาศใช้มาตรฐานคุณภาพตะกอนดิน เพื่อใช้เป็นค่าอ้างอิงระดับการปนเปื้อนสารพิษ การติดตามตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง การป้องกันเหตุ การประกาศเตือน และการดำเนินการฟื้นฟูแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อนสารพิษในตะกอนดินได้อย่างทันท่วงที
ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNek5qWTFORGt6TUE9PQ%3D%3D&subcatid
|