สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  ข่าวชาติพันธุ์

ความย้อนแย้งในประชาคมอาเซียนกับ
โพสเมื่อวันที่ 17 เม.ย 2555 11:11 น. 



 

 

 



























 

ในงานประชุมวิชาการทางมานุษยวิทยา ครั้งที่ 10 "อาเซียน  : ประชาคมในมิติวัฒนธรรม ความขัดแย้ง และความหวัง" ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เมื่อวันที่ 30 มีนาคม  นางปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล นักวิชาการอิสระ และ น.พ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกล่าวปิดการประชุมทางมานุษยวิทยาครั้งที่ 10

 

นางปริตตา กล่าวว่า ได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับอาเซียนแล้วน่าปวดหัวมากเพราะเป็นภาษาทางการ ภาษาทางการทูต แต่ก็น่าสนใจเพราะเอกสารเหล่านี้มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอด นับแต่อันแรก ที่พูดถึงอาเซียนวิชั่น 2020 ซึ่งลงนามปี 1997 ส่วนชิ้นที่ 2 บาหลีคองคอร์ด หมายเลข 2 ลงนามที่บาหลี ปี 2003 อันนี้ จะเป็นฉบับที่พูดถึงคำว่า pillar หรือว่า เสา จะเรียกว่าเสาหลัก เสาเอก หรือเสาค้ำจุนอะไรก็แล้วแต่ จะปรากฎในฉบับนี้ ส่วนฉบับที่ 3 คือ โรดแมพสำหรับประชาคมอาเซียนซึ่งลงนามเมื่อปี 2009 พอมามาถึงโรดแมพ ไม่ได้ใช้คำว่า “เสาหลัก” แต่ใช้คำว่า “คอมมูนิตี้” (ชุมชน) แทน

 

ส่วนตัวมีความสนใจ อยากรู้เช่นกัน  เสาแรกเป็น การเมือง ความมั่นคง เสาที่ 2 ด้านเศรษฐกิจ เสาที่ 3 สังคมวัฒนธรรม ทั้ง 3 เสานี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร ซึ่งเอกสารทางการเหล่านี้ ไม่ได้อธิบาย เพียงแต่ว่า บอกว่าเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น แล้วสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง

 

จึงได้ลองดูจากเอกสารโรดแมพ ว่าพอมาถึงระดับประเทศ แล้วประเทศไทย รวมไปถึงหน่วยงานต่างๆ เตรียมจะเอาแผนปฏิบัติการมาทำอะไรบ้าง โดย สังคมวัฒนธรรม พูดถึงการพัฒนามนุษย์ เน้นทางด้านการศึกษา เน้นความรู้ภาษาอังกฤษ เน้นการใช้ทักษะ เทคโนโลยีสารสนเทศ แล้วสร้างทักษะความเป็นผู้ประกอบการ สวัสดิการ ความมั่นคงมนุษย์ ความเป็นธรรม และสิทธิในสังคม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน

 

แต่ไม่ทราบว่าจะตีความสิ่งเหล่านี้อย่างไร แต่จากการที่เลขาธิการอาเซียน ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ  พูด ในวันแรกของงานประชุมนี้ ผนวกกับการอภิปรายของวงต่างๆ ในการประชุมทางมานุษยวิทยา

 

ดิฉันรู้สึกว่ามีความขัดแย้งเกี่ยวกับ ตำแหน่งเสาที่ 3 คือ เสาสังคมวัฒนธรรม คือความหมายแรก ถ้าฟังจากเลขาธิการอาเซียน การมีเสาสังคมวัฒนธรรม เป็นการบ่งบอกว่าผู้ที่ร่างประชาคมอาเซียน คำนึงถึงมิติความเป็นมนุษย์ ในการสร้างประชมคมอาเซียน ไม่ใช่มุ่งแต่เรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ คิดถึง เม็ดเงินอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วคิดถึงมนุษย์ตาดำๆ  ความยั่งยืนมั่นคง สวัสดิการ ซึ่งเป็นความหมายงดงามอุดมคติดี ซึ่งขัดแย้งกับภาพที่ 2 เมื่ออ่านเอกสารโรดแมพแล้ว รู้สึกว่า แผนงานทั้ง 3 อัน มีความแย้งกันอยู่ในตัว ดูจำนวนหน้าก็พบว่า ด้านที่ยาวที่สุด ละเอียดที่สุด มีแผนปฏิบัติการ กรอบเวลาอย่างชัดเจนมากที่สุด ก็ไม่ต้องสงสัยคือแผนเศรษฐกิจ มีความยาวทั้งหมด 46 หน้า ขณะที่แผนงานด้านสังคมวัฒนธรรม ซึ่งไม่มีแผนปฏิบัติการละเอียด ยาว 28 หน้า ส่วนทางด้านการเมืองความมั่นคงมีแค่ 16 หน้า ซึ่งไม่ทราบแปลว่าอะไร หรือจะแปลว่าการเมืองความมั่นคงไม่น่าห่วง  ไม่ต้องคิดอะไรมาก หรือ คิดอีกด้าน การเมืองประเทศใครประเทศมัน อย่าไปยุ่งดีกว่า จึงไม่มีเนื้อหามาก

 

นอกจากนั้น มีความขัดแย้งอีกนิด เมื่อดูด้านสังคมวัฒนธรรม เป้าหมายการพัฒนาคน ก็ดูเหมือนว่าจะเน้นมาก เรื่องการสร้างทักษะที่จำเป็น เป็นประโยชน์ ในการประกอบการ มีการเน้น สร้างเสริม ให้บุคคลต่อไปนี้ ได้แก่ ผู้หญิง เด็ก คนชรา ผู้บกพร่องด้านความสามารถ ให้คนเหล่านี้ มีทักษะด้านการประกอบการ ฉะนั้น ดูแล้ว เสาที่ 3 สังคมวัฒนธรรม จริงๆ แล้ว เป็นตัวประกอบ หรือยุทธศาสตร์อย่างหนึ่ง ที่จะทำให้ประชาคมมีความเข้ามแข็งทางเศรษฐกิจ


ดิฉันวาดภาพมาให้ดูแบบไม่คิดมาก 3 เสานี้ จับมือกัน ทุกเสาสูงเท่ากัน คล้ายเวลาผู้นำอาเซียนถ่ายรูปก็จับมือกัน  แต่เมื่ออ่านเอกสารแล้ว ภาพกลับไม่ใช่แบบนั้น แต่กลับเป็นแบบนี้ คือ เสาเศรษฐกิจสูงใหญ่สุด แล้วมีอีก 2 เสา ที่ประครองตรงกลางเอาไว้

 

 

นางปริตตา กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่ 2 ใครคือประชาชน แผนทางสังคมวัฒนธรรม มีเน้นประชาชนอยู่หลายแห่ง ศูนย์กลางอยู่ที่ประชาชน แต่ใครคือประชาชน  ซึ่งน่าสนใจว่า ผู้ที่ถูกเรียกว่า ประชาชน คือ ผู้หญิง เด็ก คนชรา คนพิการ ซึ่งไม่แน่ใจว่าทำไม 4 ประเภทนี้ เป็นที่นิยม เหมือนประเภทของคนที่เราต้องสละที่นั่งให้เวลาขึ้นรถเมล์ หรือที่นั่งพิเศษ หรือมีการพูดถึงแรงงานอพยพบ้าง แต่ที่น่าสังเกต เวลาเลขาธิการอาเซียน มาบรรยายให้เราฟัง แม้ migrant worker หรือแรงงานข้ามชาติ จะมีที่เล็ก ๆ ในแผนสังคมวัฒนธรรม แต่ก็ไม่ใช่กลุ่มที่จะได้รับสิทธิเดินทางเข้านอกออกในพรมแดนประเทศต่างๆ ได้อย่างเสรี กลุ่มที่จะได้รับสิทธินั้น เป็นกลุ่มที่จะต้องมีความชำนาญสูง กลุ่มที่เรียกว่า สกิลเลเบอร์ หรือเป็นโพรเฟสชั่นนอล คือพวกที่เป็นวิชาชีพ เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร สถาปนิก เป็นต้น
 

ทั้งที่ในการประชุมมานุษยวิทยาของเราครั้งนี้ เราจะได้ยินเรื่องแรงงานอพยพ ซึ่งเป็นกลุ่มข้ามพรมแดน จำนวนมากที่สุด มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศอาเซียนมากที่สุด

 

เป็นที่น่าสังเกตว่า เราชาวมานุษยวิทยา หรือสังคมศาสตร์ จะให้ความสำคัญกับคนซึ่งมักจะไม่มีที่ทาง ซึ่งคนอื่นมองไม่เห็น อาทิเช่น คนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธุ์ คนไร้รัฐ หรือกลุ่มคนที่มีเพศสภาวะแตกต่าง คนเหล่านี้เป็นที่สนใจอย่างยิ่งของงานประชุมครั้งนี้ แต่ไม่เป็นที่สนใจเลยของอาเซียน เนื่องจากไม่ปรากฎเลยในแผนงาน ไม่ว่าที่ใดที่หนึ่ง ฉะนั้น คนเหล่านี้ ไม่มีตัวตนในแผนงานอาเซียน

 

ความขัดกันอีกประการ เกี่ยวกับประชาชน คือในขณะที่อาเซียน พูดถึงสวัสดิการ การป้องกันความยากจน การลดผลกระทบจากโลกาภิวัฒน์ ความมั่นคงทางอาหาร

 

เนื้อหาที่เราได้ฟังจากการประชุมมานุษยวิทยานี้  กลับเป็นภาพตรงกันข้าม เราจะได้ยินหลายวงอภิปราย วิพากษ์ว่า อาเซียน ดูเหมือนจะไม่ได้ให้ความหวังอะไรมากนัก สำหรับ สามัญชนคนทั่วไป ยิ่งเราสนับสนุนให้มีการไหลเวียนของทุน ของนักลงทุน ยิ่งเศรษฐกิจทุนนิยมขยายตัวมากขึ้นเท่าไหร่ ช่องว่างระหว่างคนมั่งมีกับคนยากไร้ ก็จะยิ่งถ่างกว้างออกไปเท่านั้น จริงๆ ประเด็นนี้ ก็กล่าวกันมานานแล้ว แต่ยังเป็นความจริงที่พูดได้เรื่อยๆ

 

การประชุมครั้งนี้ ยังพูดถึงการรุกคืบของประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจสูง ในรูปแบบแปลกใหม่ เช่น บางประเทศเช่าที่ดินระยะยาวในลาวเหนือ 99 ปี เพื่อเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยผู้เช่าดูเหมือนจะมีอธิปไตยเหนือที่ดิน มากกว่า เจ้าของประเทศ กระทั่ง นักวิจัยมองว่า เป็น "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" ซึ่งในยุคอาณานิคมยุคหนึ่งในสยาม คำว่าสิทธิสภาพนอกอาณาเขต เป็นคำที่น่ารังเกียจมาก แต่ในปัจจุบัน เมื่อเรียกว่า "เขตเศรษฐกิจพิเศษ" กลับเป็นคำที่มีเสน่ห์ เย้ายวนยิ่งนัก ทั้งที่ในทางปฏิบัติ อาจจะไม่แตกต่างกัน

 

ประเด็นที่ 3 ความย้อนแย้งหรือความขัดแย้ง ในการสร้างอัตลักษณ์อาเซียน ซึ่งเป็นหัวข้อใหญ่อันหนึ่ง มีการใช้คำว่า จะหล่อหลอมให้เกิดเป็นอัตลักษณ์เดียวกัน หรืออัตลักษณ์ร่วมกัน แต่เมื่ออ่านในแผนงานแล้ว ก็ไม่ได้บอกว่าจะทำด้วยวิธีอะไร แต่ที่เป็นรูปธรรมที่สุด ก็น่ารักมาก คือจะมีเพลงประจำอาเซียน ซึ่งส่วนตัวอยากฟังมาก และได้ไปถาม อาจารย์ปีเตอร์ ครอเฟิร์ด ว่าในประชาคมยุโรป สหภาพยุโรป มีเพลงของสหภาพยุโรป หรือไม่ เพลงอะไร ซึ่งอาจารย์ ก็บอกว่ามี โดยใช้เพลงของบีโทเฟน ซิมโฟนี หมายเลข 9 ท่อนสุดท้ายที่เป็นการร้องประสานเสียง ซึ่งในภาษาอังกฤษ มักจะเรียกว่า ode to joy ก็เอามาเป็นเพลงประจำของสหภาพยุโรป แต่ตอนนี้ ยังนึกไม่ออกว่าเพลงของประชาคมอาเซียน จะมีท่วงทำนองอย่างไร

 

นอกจาก ธง และ เพลง แล้ว อัตลักษณ์อาเซียน ก็มีการนิยามที่น่าสนุกดี และท้าทายว่าจะสร้างอย่างไร แต่จากการประชุมมานุษยวิทยา ก็มีความขัดแย้งหลายอย่าง เพราะคำว่าอัตลักษณ์ เป็นคำที่มีความซับซ้อน มีคำนิยามมากมาย เมื่อเราพูดถึงอัตลักษณ์อาเซียน สิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือ อัตลักษณ์อาเซียนกับอัตลักษณ์ชาติจะอยู่ด้วยกันอย่างไร ถึงแม้ว่ารัฐชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะอายุไม่มาก อาจจะ 100-150 ปี แต่ความรู้สึกชาตินิยม ก็ถูกโหมกระพืออย่างรุนแรง เป็นระลอกมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น ความรู้สึกชาตินิยมจะมีรุนแรงมาก ชาตินิยมกับอาเซียนนิยม จะไปด้วยกันอย่างไร นี่ก็ป็นข้อที่ท้าทาย

 

ประเด็นท้ายสุด ในทั้งประเทศไทยและอาเซียน ช่างอุดมไปด้วยประวัติศาสตร์บาดแผล ประวัติศาสตร์ของความบาดหมางระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ประวัติศาสตร์ของการที่รัฐทำร้ายประชาชน ฉะนั้น ภายในรัฐชาติเอง การรับรู้ภาพประวัติศาสตร์ของเราเอง ก็ยังอิหลักอิเหลื่อกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลายอย่างก็ยังพูดไม่ได้ เราจะก้าวไปพูดถึงประวัติศาสตร์ประเทศเพื่อนบ้าน หรือประวัติศาสตร์ร่วมกันของอาเซียนจะมีหรือเปล่า มีได้อย่างไร อันนี้ก็เป็นโจทย์ใหญ่ ของทั้งนักวิชาการ และผู้ที่พูดเรื่องประชาคมอาเซียนต้องตระหนัก แต่ยังมีความหวังว่าสักวันแบบเรียนประวัติศาสตร์ที่นักเรียนไทยเรียน เราจะสามารถมองประเทศเพื่อนบ้าน มองบุคคลสำคัญของประเทศเพื่อนบ้านด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่น หากเรามองเจ้าอนุวงศ์ เราก็คงไม่มองเจ้าอนุวงศ์ว่าเป็นกบฎ เป็นคนเนรคุณอย่างเดียว แต่เราจะสามารถมองเจ้าอนุวงศ์ว่า เป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ของลาวได้ อันนี้ก็เป็นความหวัง


ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรม ถ้าเราอ่านจากแผนงานของอาเซียน คนที่ร่างเอกสาร มีภาพหรือมโนทัศน์วัฒนธรรม ที่ค่อนข้างจะเป็นทางการ แล้วก็อนุรักษ์นิยมมาก คือมองวัฒนธรรม ว่าเป็นมรดกวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่มีความงดงามมีคุณค่าในตัวเอง เป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากอดีต แล้วค่อนข้างจะเป็นอุดมคติ แต่ในการประชุมของเราจะพบว่า นักวิชาการจะมองวัฒนธรรม ในมุมสีเทา มีความยอกย้อน มีการเมืองอยู่เบื้องหลังค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้น การให้คำนิยามวัฒนธรรม ก็มีความแตกต่างกันอยู่มาก


ท้ายสุด ข้อขัดแย้งระหว่างอาเซียนฉบับทางการ หรือบางท่านบอกว่าเป็นอาเซียนฉบับลอยมาจากฟ้า กับอาเซียนฉบับสามัญชน หรืออาเซียนฉบับเดินดิน ขอให้ชมภาพ (ภาพประกอบ) พบว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ ระหว่างเนื้อหาของสิ่งที่เราพูดกัน กับเนื้อหาที่ได้อ่านมาจากเอกสารทางการ ในคำประกาศเจตนารมณ์ของผู้นำอาเซียน พบว่า ชุดของศัพท์ ก็คนละชุดแล้ว ถ้าหากดูในซีกซ้ายของรูป จะพบว่า เป็นสนามของผู้นำอาเซียน มีเอกสารจำนวนมาก สิ่งที่อาเซียนทำคือผลิตเอกสารจำนวนมาก แล้วการประชุมจำนวนมาก มีคำว่า prosperity (ความเจริญรุ่งเรือง), single market (ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเดียว), security (ความมั่นคง)  มีคำ caring and sharing (ความห่วงใยและการแบ่งปันซึ่งกันและกัน) เพราะมาก ไม่ทราบใครคิดคำนี้ มีมาตั้งแต่ วิชั่นอาเซียน 2020 ยังอยู่มาถึงปัจจุบัน มีคำว่า asean identity (อัตลักษณ์อาเซียน) รวมทั้งมีท่านเลขาธิการอาเซียนชูกฎบัตรอาเซียน ซึ่งยิ่งใหญ่ พอๆ กับคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐ 

 

ส่วนคำที่เราได้ยินในการประชุม จะอยู่ซีกขวา มีทั้ง multi-culturalism (พหุนิยมทางวัฒนธรรม), ethnic (กลุ่มชาติพันธุ์), identity (อัตลักษณ์), culture and right (วัฒนธรรมและสิทธิ), paradox (ความย้อนแย้ง), violence (ความรุนแรง) จะเป็นคำคนละชุด แต่ละกลุ่มจะมองอาเซียนคนละแบบ  

 

 

 

ด้าน น.พ.โกมาตร กล่าวว่า นักมานุษยวิทยา เราจะคิดอย่างไรในบริบทอาเซียน เราไม่ใช่ศาสตร์ของการพยากรณ์ แต่มานุษยวิทยาทำงานเหมือนพนักงาน คัดหางเสือเรือ ไม่ได้เป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเรือ คือเรือจะไปทางไหน เราก็ไม่ค่อยได้ไปกำหนด แต่เราทำหน้าที่เหมือนคอยคัดง้าง ว่า ไม่ใช่ทางนี้ แต่ทางนั้น น่าจะดีกว่า ขณะที่เราพยากรณ์ไม่ค่อยเก่ง


ฉะนั้น อยากเริ่มมาทบทวนว่า มานุษยวิทยา เป็นมรดกของจักรวรรดินิยม ในหลายแง่มุม ที่เห็นชัดๆ คือ มานุษยวิทยาจะคุยกับนักมานุษยวิทยาในประเทศเจ้าอาณานิคม มากกว่าจะคุยกับนักมานุษยวิทยา ในสังคมอาเซียนด้วยกัน เรารู้จักงานมานุษยวิทยาของอเมริกาและยุโรป แต่ไม่รู้จักนักมานุษยวิทยาท้องถิ่นในสังคมอาเซียน เช่น ในมาเลเซีย เวียดนาม พม่า ลาว เขมร ว่ามีงานชิ้นสำคัญอะไร ถ้าเราจะรู้จักสังคมในเพื่อนบ้านอาเซียน เราก็อ่านผ่านงานฝรั่งเช่นกัน เป็นมรดกจักรวรรดินิยมชัดเจน เราสื่อสารกับนักมานุษยวิทยาเจ้าอาณานิคมมากกว่าอาเซียน นี่เป็นสิ่งที่น่าทบทวน ว่าเราต้องร่วมมือในอาเซียนมากขึ้น


เรามองรัฐชาติ เป็นหน่วย สำหรับการทำงาน ซึ่งโดยปริยาย เราก็รู้จักหน่วยประเทศ เป็นแต่ละประเทศไป ต้องเข้าใจว่า พื้นที่ของการศึกษา เป็นผลผลิตของสงคราม สงครามโลกที่ทำให้สหรัฐตื่นตัวว่า รู้จักพื้นที่ต่างๆ ในโลกน้อย จึงแบ่งให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ไปดูแลเพื่อใช้ประโยชน์ ในยามสงคราม หรือในยามต้องการไปแทรกแซงประเทศนั้นๆ เช่น กรณี ไทย ก็ถูกยกให้มหาวิทยาลัยคอร์แนล ฉะนั้น การจัดพื้นที่ให้นักมานุษยวิทยาไปจัดการ จึงจัดตามความสัมพันธ์ของประเทศมหาอำนาจกับประเทศโลกที่ 3


เมื่อ เจาะจงอุษาคเนย์ น่าคิดว่าเมื่อเป็นอาเซียนแล้ว อะไรที่กำลังก่อรูปความเป็นอาเซียน ถ้าหากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกออกแบบมาจาก สงครามเย็น แต่หลายคนมองว่า สิ่งที่กำลังก่อรูปอาเซียนอยู่ คือประเทศจีน  หรือเป็นประเทศเอเชียตะวันออกไกล  ในขณะที่เราไปมองโมเดลแถวยุโรป ซึ่งจะเข้ากันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เมื่อนึกอะไร ก็หันไปตะวันตก เป็นมรดกอีกข้อของเรา


ถ้าได้ทบทวนจะเห็นว่ามานุษยวิทยาจะเข้าไปเกี่ยวกับอาเซียนอย่างไร สมมุติว่าอาเซียนเป็นชนเผ่าหนึ่ง อาเซียนมีหลายเรื่องต้องเข้าไปดู เช่น ชีวิตทางสังคม นักมานุษยวิทยาจะดูพิธีกรรม เราก็คงเห็น พิธีกรรมมากมายในการประชุมของอาเซียน ว่า แท่นปรัมบูชาเทพเจ้าตั้งตรงไหนของเวที ใครจะเป็นผู้เข้าถึงท่านบูชาอันนั้น คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกชูขึ้นว่าเป็น living document (เอกสารที่มีชีวิต) มัน living (ชีวิต) ยังไง เราก็มีคาถา มีบทสวดที่น่าสนใจ เชื้อเชิญเราเข้าไปสัมพัน และลากลงมาเป็นของธรรมดา ที่เราจะพูดถึงมันได้ในฐานะของธรรมดา ที่สามารถเข้าใจได้ด้วยความรู้ทางมานุษยวิทยา


เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้โอกาสอาเซียนที่กำลังมาถึง แล้วเราเกลียดเพื่อนบ้านน้อยลง เพราะเราก็เป็นผลผลิตอาณานิคมอีกแบบหนึ่ง ที่อาศัยประเทศเราเป็นฐานทัพ ไปทิ้งระเบิดลงประเทศ เวียดนาม ลาว เขมร  แล้วสร้างประวัติศาสตร์ชาตินิยมที่เที่ยวประณาม ด่าเขาไปทั่ว แต่อาเซียน อาจจะเป็นโอกาสที่มนุษย์ ซึ่งไม่ได้เลือกเกิดในประเทศต่างๆ สามารถอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องเกลียดกันเหมือนในอดีต เราควรถ่วงดุล ระหว่างความระแวงสงสัย กับความพร้อมพร้อมจะเข้าใจ ถ้าจะถ่วงดุลให้ดี เราก็จะต้องทำภาคสนามอาเซียน มานุษยวิทยา ก็จะมีสิ่งที่จะนำเสนอสังคมมากเช่นกัน  

 

ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1334392027&grpid=03&catid=02
วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 20:15:00 น.




  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง