ความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์
มโนทัศน์กลุ่มชาติพันธุ์ (ethnic group) เป็นมโนทัศน์สำคัญมโนทัศน์หนึ่งที่นักมานุษยวิทยาใช้ในการจำแนกกลุ่มชนต่างๆซึ่งแพร่หลายในสาขาวิชามานุษยวิทยาตั้งแต่ทศวรรษของ 2490 เป็นต้นมา ก่อนหน้านี้นักมานุษยวิทยาให้ความสำคัญกับการจำแนกแบบแผนพฤติกรรมมนุษย์หรือที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า “วัฒนธรรม” มากกว่าการจำแนกตัวกลุ่มชนเอง (Jones 2005;40,ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 2551)
นักมานุษยวิทยาบางกลุ่มในอังกฤษเริ่มให้ความสนใจในการจำแนกประเภทกลุ่มชน อย่างเช่น การใช้มโนทัศน์ “tribe” (แปลว่าเผ่าพันธุ์ หรือชนเผ่าในภาษาไทย) และตามมาด้วยการใช้มโนทัศน์อื่นๆ โดยนักมานุษยวิทยาอเมริกัน อย่างเช่น “band” (แปลว่า “กลุ่มชนเร่ร่อน”ในภาษาไทย) หรือ “peasant” (แปลว่า “ชาวนาชาวไร่” ในภาษาไทย) เพื่อให้เห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนในเชิงวิวัฒนาการ (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 2551:6)
การปรากฏตัวและการแพร่หลายของมโนทัศน์ “กลุ่มชาติพันธุ์” หรือ “ethnic group” อาจไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนนัก แต่สันนิษฐานได้ว่า เชื่อมโยงกับกระแสความเคลื่อนไหวของนักมานุษยวิทยาและนักสังคมศาสตร์อื่นๆ ในเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะนักมานุษยวิทยาบางคน เช่น Ashley Montague
A. Montague เป็นนักมานุษยวิทยากายภาพชีวภาพ ได้ออกแถลงการณ์ของยูเนสโกในการวิพากษ์การใช้มโนทัศน์ “ชนชาติ” (race) ในการจำแนกกลุ่มชนถึง 4 ครั้ง เช่น ในครั้งแรก พ.ศ.2493 (ค.ศ.1950) แถลงการณ์เรื่องปัญหา “ชนชาติ” (A. Montague 1972,ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 2551:6) ซึ่งได้มีข้อเสนอให้ใช้มโนทัศน์ “กลุ่มชาติพันธุ์” แทน “ชนชาติ”
A. Montague ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า มโนทัศน์ “กลุ่มชาติพันธุ์” น่าจะเป็นคำที่มีประโยชน์ในการจำแนกกลุ่มชนได้อย่างถูกต้องมากขึ้น เพราะเป็นคำใหม่ ยังไม่มีความสับสนมากเท่าความหมายของคำว่า “ชนชาติ” (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ,2551:7)
ในความคิดของ A. Montague “กลุ่มชาติพันธุ์” หมายถึง กลุ่มคนหรือกลุ่มชนที่ถูกมองว่าแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ ในทางกายภาพหรือในทางวัฒนธรรม แต่ A.Montague ได้เน้นการยกตัวอย่างการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ในทางกายภาพ (A.Montague 1972)
อย่างไรก็ตาม หลังจากทศวรรษของ 2490 เป็นต้นมา มโนทัศน์ “กลุ่มชาติพันธุ์” ได้แพร่หลายในสาขาชาติพันธุ์วิทยาหรือมานุษยวิทยาสังคมและวัฒนธรรม และสาขาวิชาอื่นๆ ในสังคมศาสตร์ เช่น สังคมวิทยา จิตวิทยา และรัฐศาสตร์ (Zenner 1996:303) จากข้อสังเกตของ Zenner (1996) มโนทัศน์อื่นๆ ที่ได้เคยใช้กันก็ยังมีใช้อยู่ควบคู่กันไป แต่ใช้กันน้อยลงด้วยเหตุผลต่างๆ อย่างเช่น คำว่า “เผ่าพันธุ์” (tribe) กลายเป็นคำที่มีนัยยะของการไร้อารยธรรม และสะท้อนอคติแบบจักรวรรดินิยมตะวันตก เพราะคำว่า “tribe” มาจากคำว่า “tribu” ซึ่งหมายถึง คนป่าเถื่อนที่อยู่นอกอาณาจักรแห่งอารยธรรม(Sahlin 1998)
ส่วนคำว่า “ethnic group” หรือกลุ่มชาติพันธุ์ จะมีความหมายที่เป็นกลางมากกว่ากล่าวคือ ไม่ได้บ่งบอกประเภทหรือระดับคุณลักษณะทางวัฒนธรรมที่เหนือกว่าหรือต่ำกว่า เพียงแต่บ่งบอกว่าเป็นกลุ่มชนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในระยะแรกการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์เป็นการจำแนกโดยนักมานุษยวิทยาหรือนักภาษาศาสตร์ เช่น ในงาน “Ethnic Groups of Mainland Southeast Asia” ของ LeBar, Hickey and Musgrave (1960) ที่จำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเกณฑ์ความแตกต่างและความสัมพันธ์ทางภาษา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง พ.ศ.2500 เป็นต้นมา แนวคิดการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์โดยอาศัยเกณฑ์เชิงวัตถุวิสัยดังกล่าวได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์โดยนักมานุษยวิทยาที่ทำงานในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างเช่น Leach (1964) และMoerman (1967)
Leach ศึกษากะฉิ่นในพม่า ได้ตั้งข้อสังเกตว่า กะฉิ่น (Kachin) มีหลายกลุ่ม หลายภาษา และพบว่าไม่สามารถสื่อสารระหว่างกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังยอมรับกันว่าเป็นกะฉิ่น
ในขณะที่ Moerman (1967) ซึ่งศึกษาลื้อในทางภาคเหนือของประเทศไทยได้เสนอว่าการจำแนก “กลุ่มชาติพันธุ์” ควรคำนึงถึงจิตสำนึกของสมาชิกชาติพันธุ์ด้วยว่าเขาคิดว่าตนเองเป็นใคร” Moermanตั้งข้อสังเกตว่าแม้ว่า “ลื้อ” จะมีลักษณะทางวัฒนธรรมแทบจะไม่แตกต่างจากคนเมืองหรือไตยวน (คนโดยทางเหนือ) ทั้งแบบแผนการผลิต ความเชื่อ ภาษา และการแต่งกาย แต่ความแตกต่างทางวัฒนธรรมซึ่งมีอยู่เพียงเล็กน้อยนี้ ก็มากพอที่จะทำให้ “ลื้อ” อาศัยความแตกต่างดังกล่าวเพื่อแยกตัวเองจาก “คนเมือง”
นอกจากความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมแล้ว Moerman ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของกลุ่มชนก็มีความหมายต่อชื่อเรียกและความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการนิยามความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยเกณฑ์ที่เป็นวัตถุวิสัยโดยนักมานุษยวิทยายังมีอีกมาก แต่เป็นในแนวทางที่ใกล้เคียงกันดังที่ Levine และ Campbell (1972) ซึ่งได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า นักมานุษยวิทยาสมัยนั้นมักสนใจแต่เรื่องวัฒนธรรม จึงเข้าใจกันอย่างหลวมๆ ว่ากลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งๆก็คือกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมหนึ่งร่วมกัน ซึ่งในความเป็นจริงมิอาจจำแนกได้อย่างชัดเจน (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 2547) ข้อวิพากษ์ต่างๆ ดังกล่าวได้กระตุ้นความสนใจของนักมานุษยวิทยาและนักสังคมวิทยาบางกลุ่มที่ถามคำถามเกี่ยวกับ “ความเป็นชาติพันธุ์” มากขึ้นในกาลเวลาต่อมา ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญต่างๆ ดังนี้
1. กระบวนการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์โดยคนในกลุ่ม
2. การเรียนรู้และแสดงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในบริบทต่างๆ
3. ความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์
4. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่ต่างกลุ่มชาติพันธุ์
5. กระบวนการดำรงรักษาพรมแดนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์
6. กระบวนการเปลี่ยนแปลงในทางชาติพันธุ์
Fredrik Barth (1969) นักคิดคนสำคัญที่มีบทบาทในการกระตุ้นมโนทัศน์การศึกษาชาติพันธุ์คือ “ethnic identity” (อัตลักษณ์ชาติพันธุ์) และ “ethic boundary” (พรมแดนชาติพันธุ์) ซึ่งถือเป็นแนวใหม่มีลักษณะเป็นจิตวิสัยในแง่ที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกนึกคิดของสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ว่าเป็นใคร เป็นสมาชิกของกลุ่มใด แตกต่างจากกลุ่มอื่นอย่างไร และลักษณะทางวัฒนธรรมใดที่มีความหมายต่อการจำแนกทางชาติพันธุ์
ข้อเสนอของ Barth (1969) คือ ให้เปลี่ยนมุมมองจากการที่กลุ่มชาติพันธุ์เป็นหน่วยที่ถือวัฒนธรรมร่วมกันมาเป็น “รูปแบบการจัดระเบียบสังคมแบบหนึ่ง” ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “สถานภาพ” ในกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลที่อยู่ร่วมกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน หรืออยู่ต่างกลุ่มชาติพันธุ์กัน การกำหนดความหมาย กลุ่มชาติพันธุ์ตามความคิดนี้ ทำให้ลักษณะทางวัฒนธรรมมีความสำคัญในการจำแนกความเป็นชาติพันธุ์ของปัจเจกบุคคล และเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการจำแนกตนเองและคนอื่นว่าต่างกลุ่มกัน ในแง่นี้ ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ก็จะเปรียบเสมือนสถานภาพอื่นๆ ในสังคม เช่น เพศสภาพ ชนชั้น วัยวุฒิ หรือถิ่นฐานที่อยู่ ที่กลายเป็นเครื่องหมายบ่งบอกมาตรฐานการปฏิสัมพันธ์ที่จะทำให้รู้ว่าคู่ปฏิสัมพันธ์ควรจะถือปฏิบัติอย่างไรต่อกันอย่างเหมาะสม ตามความคิดนี้ สิ่งที่จะมีความสำคัญในการศึกษาทางชาติพันธุ์ จึงน่าจะเป็นกระบวนการระบุอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ เอกลักษณ์ชาติพันธุ์ (ethnic category) และพรมแดนชาติพันธุ์ ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลจากต่างกลุ่มชาติพันธุ์
ข้อสังเกตของ Barth ก็คือว่า พรมแดนชาติพันธุ์อาจดำรงอยู่ได้ แม้ว่าจะมีการปฏิสัมพันธ์ข้ามกลุ่มชาติพันธุ์กันอยู่เสมอ และแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมไปในทางที่ใกล้เคียงกัน Barth ให้ความสนใจเรื่องการแสดงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ในการปฏิสัมพันธ์มากกว่าสนใจความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์อย่างในกรณีของ Moerman
นอกจากแนวคิดของ Barth แล้ว ยังมีแนวคิดของนักมานุษยวิทยาและนักสังคมศาสตร์อื่นๆ อีกมากมาย อย่างเช่น Abner Cohen (1974) ซึ่งได้พยายามปรับปรุงความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์ให้รัดกุมขึ้น โดยกำหนดว่า กลุ่มชาติพันธุ์ คือ กลุ่มคนที่มีแบบแผนพฤติกรรมทางวัฒนธรรมร่วมกัน เป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหญ่ทำให้มีการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่ร่วมระบบสังคมเดียวกัน นัยยะของความหมายนี้ คือ กลุ่มชาติพันธุ์จะต้องอยู่ร่วมระบบสังคมเดียวกัน และแนวคิดในการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ของ Cohen ก็ยังมีลักษณะที่ให้ความสำคัญกับเกณฑ์ที่เป็นวัตถุวิสัยอยู่ดี (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 2525)
แม้ Cohen จะให้ความสนใจกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์เหมือนกับ Barth แต่ Cohen ให้ความสนใจปัจเจกบุคคลน้อยกว่า และเน้นการวิเคราะห์ความเป็นกลุ่มหรือการจัดระเบียบสังคมภายในกลุ่ม (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 2547)
ดังนั้น การให้ความหมายกับ “กลุ่มชาติพันธุ์” จึงมีความหลากหลาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการพิจารณาปรากฏการณ์ที่ต่างกัน และจากต่างมุมมองกัน ทำให้มิอาจนิยามคำว่า “กลุ่มชาติพันธุ์” ได้อย่างชัดเจนแน่นอน
ปัญหาชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์และการจำแนกชาติพันธุ์ในงานวิจัยทางชาติพันธุ์
เรื่องชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์และการจำแนกชาติพันธุ์เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน เพราะโดยหลักการทั่วไปของการจำแนกสรรพสิ่งต่างๆ (classification) ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พืชและสิ่งของ จะมีองค์ประกอบสำคัญๆ ดังนี้คือ
1. ชื่อเรียกของสิ่งที่ถูกจำแนก
2. ชื่อประเภทหรือหมวดหมู่ของการจำแนก
3. เกณฑ์หรือคุณลักษณะที่ใช้ในการจำแนก
4. ความรู้สึกและท่าทีที่แฝงอยู่กับสิ่งหรือประเภทที่ถูกจำแนก (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 2551)
แต่การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษจากการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาในการจัดระบบฐานข้อมูล ซึ่งในบทความนี้จะแยกนำเสนอปัญหา เนื่องจากสำหรับฐานข้อมูลแล้ว การเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์อาจจะมีความสำคัญมากกว่าการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในการศึกษาวิจัย เพราะชื่อเรียกชาติพันธุ์จะส่งผลโดยตรงกับการเรียกใช้ข้อมูล
ปัญหาการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ในงานวิจัยฯ
การที่ชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ในงานวิจัยฯ มีความหลากหลาย ไม่ลงตัวชัดเจนว่า “ใครเป็นใคร” ได้ส่งผลสำคัญต่อการจัดระบบการเรียกใช้ข้อมูล ซึ่งฐานข้อมูลนี้ให้ความสำคัญกับการเรียกใช้ข้อมูลตามกลุ่มชาติพันธุ์เป็นอันดับแรก หากชื่อเรียกชาติพันธุ์สับสน ไม่ชัดเจน อาจส่งผลต่อการจัดระบบงานวิจัยฯ และการเรียกใช้ข้อมูลตามกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะปัญหาการเรียกชื่อชาติพันธุ์ เกิดขึ้นกับทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในงานวิจัยฯ ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างมาเป็นบางกรณี เช่น
กรณีชื่อเรียก “ลัวะ” โครงการฯ พบว่าในงานวิจัย “ลัวะ” ถูกใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่เรียกตัวเองต่างๆ กันดังนี้
ลัวะ (มัล และไปร/ปรัย) |
ที่อยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ของ จ.น่าน |
ละเวือะ |
ที่อยู่ในหลายหมู่บ้าน อ.แม่สะเรียง เช่น บ่อหลวง บ้านจอมแจ้ง |
ละว้า |
ที่อยู่บ้านละอูบ |
ลเวื้อ |
บ้านบ่อหลวง |
ละเวีย |
บ้านเฮาะ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ |
ปลัง |
บ้านห้วยน้ำขุ่น เชิงดอยตุง จ.เชียงราย |
และชื่อเรียกเหล่านี้เพิ่มความซับซ้อนและสับสนขึ้นเมื่อพิจารณาชื่อที่เรียกโดยกลุ่มชาติพันธุ์อื่นหรือที่ทางราชการเรียก
ผู้เรียก |
ชื่อที่ถูกคนอื่นเรียก |
ชื่อเรียกตัวเอง |
ทางราชการ |
ถิ่น |
ลัวะ |
ไทลื้อในจีน |
ข่าวะ |
ลเวือะ |
ไทยล้านนา |
ลัวะ |
ลเวือะ |
ไทยภาคกลาง |
ละว้า |
ลเวือะ |
พม่า |
ปะหล่อง |
ละว้า |
ไต/ไทยใหญ่ |
ไตหลอย |
ละว้า (นับถือพุทธศาสนา) |
ทางราชการ |
ลัวะ |
ปลัง |
ทางราชการ |
ลัวะ |
อุก๋อง |
คนกาญจนบุรี |
ละว้า |
อุก๋อง |
สาเหตุสำคัญของตัวอย่างปัญหาดังกล่าวคือ อิทธิพลของแนวคิดและการนิยามความหมาย “กลุ่มชาติพันธุ์” ที่มีต่อการเรียกชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้งานวิจัยจำนวนมากขาดความสนใจในชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง แต่งานวิจัยเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ตามที่คนนอกกลุ่มเรียกกรือ เรียกตามที่หน่วยงานราชการ ซึ่งมีหลายชื่อ เช่น กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า “ปกาเกอะญอ” ถูกเรียกว่า “ญางเผือก” โดยไทยใหญ่ “ยางกะเลอ” โดยคนล้านนา (คนไทยทางเหนือ) “ปากี” โดยคะยาห์ “กะหร่าง” โดยคนไทยภาคกลางแถบราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรี “Sgaw Karen” โดยนักวิชาการตะวันตก และถูกเรียกว่ากะหยิ่น โดยพม่า เป็นต้น
นอกจากสาเหตุที่เกิดจากอิทธิพลของแนวคิดแล้ว การที่มีหลายชื่อหรือมีความสับสนในเรื่องชื่อยังอาจเกี่ยวข้องกับการที่สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์บางคนหรือกลุ่มย่อยบางกลุ่ม (ในกลุ่มชาติพันธุ์) สามารถแสดงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ได้มากกว่าหนึ่งขึ้นไปในบริบทและสถานการณ์ที่ต่างกัน (Chavivun Prachuabmoh 1980)
นอกจากนี้ กลุ่มชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มล้วนมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน และมีประสบการณ์ในการปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ตลอดเส้นทางอพยพ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีชื่อเรียกหลายชื่อ ในหลายกรณีได้รับเอาชื่อเรียกจากกลุ่มอื่นมาเป็นของตนเองด้วย อย่างเช่น “ผู้ไท” กลายเป็น “ลาวโซ่ง” ซึ่งมีผลเกี่ยวพันกับจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย เพราะมีพลวัตทางชาติพันธุ์ ทำให้ไม่อาจเหมารวมได้ว่าในปัจจุบัน “ลาวโซ่ง” จะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกับ “ผู้ไท” หรือที่ถูกเรียกว่า “ไทดำ” ในเวียดนามเหนือ (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 2549) อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น จากข้อมูลการสำรวจชุมชนชาวอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ถูกเรียกว่า “ลัวะ” จะเรียกตนเองว่า “ไตยวน” แต่ยังมีความสำนึกในเรื่องความแตกต่างเพราะว่าเป็น “ลัวะ” มาแต่เดิมและมีหลายคนที่ไม่ชอบถูกเรียกว่า “ลัวะ” นับว่ามีความซับซ้อนในเรื่องชื่อเรียกชาติพันธุ์แม้ว่าอยู่ในชุมชนเดียวกัน
ปัญหาการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์
ความหมายของการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ในสาขาวิชามานุษยวิทยา (ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่ได้มีความพยายามและประสบการณ์การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์มากที่สุด) มีความหมายที่แตกต่างกันใน 3 ลักษณะด้วยกันคือ
1. จำแนกประเภทกลุ่มชน โดยมีมโนทัศน์ต่างๆ เช่น กลุ่มชนเร่ร่อน ชนเผ่า/เผ่าพันธุ์ สังคมชาวนาชาวไร่ (peasant society) และกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งขอบเขตความหมายสัมพันธ์กับแนวคิดต่างๆ ในการอธิบายมนุษย์และวัฒนธรรม
2. จำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ม้ง เมี่ยน ลัวะ ลเวือะ ซึ่งสัมพันธ์กับเกณฑ์ในการจำแนกในทางวิชาการและวัตถุประสงค์ของการจำแนก
3. การจัดหมวดหมู่กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเกี่ยวข้องกัน หรือ มีความสัมพันธ์ในทางภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการเมือง
ปัญหาสำคัญ คือ นักวิจัยมักเรียกกลุ่มที่ตนศึกษาด้วยชื่อที่คนอื่นเรียก และยังไม่สนใจการจำแนกชาติพันธุ์ของกลุ่มที่ศึกษา ทำให้ยังขาดข้อมูลสำคัญที่จะนำมาประกอบการพิจารณา ดังนั้นการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ และการจัดหมวดหมู่กลุ่มจึงยังคงมีปัญหาในทางวิชาการ และมีกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มไม่พึงพอใจและไม่เห็นด้วยกับชื่อที่ถูกเรียกและกับการจัดหมวดหมู่กลุ่มชาติพันธุ์ของนักวิชาการ
ตัวอย่างเช่นนักวิชาการจัดให้ “ตองซู” เป็นกลุ่มย่อยของกะเหรี่ยง แต่ในงานวิจัยที่เกี่ยวกับ “ตองซู” บางงานได้ระบุว่า “ไม่ได้เป็นกะเหรี่ยง” หรือจากการเสวนาทางวิชาการว่าด้วยชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ “กะเหรี่ยง” (2551) ผู้ร่วมเสวนาซึ่งระบุว่าตนเองว่าเป็น “โพล่ง” และ “ปกาเกอะญอ” และบางคนเห็นว่าเป็นได้ทั้งสองกลุ่ม ได้ถกเถียงกันว่าจะสามารถเรียกรวมเป็น “กะเหรี่ยง” ได้หรือไม่และยังไม่แน่ใจว่ากลุ่มอื่นๆ ที่นักวิชาการคิดว่าเป็น “กะเหรี่ยง” จะถูกต้องหรือไม่ เพราะบางกลุ่มก็ไม่รู้จักกันดีพอ และบางกลุ่มก็ไม่สามารถสื่อสารระหว่างกันได้
อย่างไรก็ตาม ในทางมานุษยวิทยาก็ยังไม่มีการศึกษาการจำแนกชาติพันธุ์ของกลุ่มชาติพันธุ์เอง การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นการจำแนกโดยอาศัยเกณฑ์ทางภาษาศาสตร์ ซึ่งยังมีความไม่ลงตัวอยู่เช่นกัน (David D. Thomas 1964, David Bradley 1994)
ปัญหาในการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานข้อมูล
ในระหว่างการรวบรวมงานวิจัยเพื่อจัดทำฐานข้อมูลงานวิจัยทางชาติพันธุ์ คณะทำงานฯ ได้เผชิญปัญหาเกี่ยวกับความหมายของชื่อเรียก และการจำแนกชาติพันธุ์ซึ่งมีหลากหลายในงานวิจัยฯ และในหลายกรณีทำให้เกิดความสับสน ไม่ชัดเจนและส่งผลต่อการจัดระบบฐานข้อมูลฯ คณะทำงานฯ ได้พยายามศึกษาเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งก็ได้ทำความเข้าใจไปแล้วบางส่วนโดยโครงการได้นำเสนอผลการศึกษาเรื่องชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเองที่พบในงานวิจัยเผยแพร่ในรูปของตารางเทียบเคียงชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ คณะทำงานจึงได้จัดทำตารางเทียบเคียงชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยโดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน ในอนาคตหากมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ข้อค้นพบดังกล่าวเป็นข้อค้นพบจากงานวิจัยที่รวบรวมในปัจจุบัน ในอนาคตหากพบข้อมูลอันที่เป็นประโยชน์ โครงการจะนำมาปรับปรุงต่อไป
|