“ถ้าไม่มีความเชื่อความศรัทธา ก็ไม่มีวัฒนธรรม
และถ้าไม่มีวัฒนธรรม ชีวิตมนุษย์จะยึดโยงกับอะไร”
คำพูดเฉียบคมในน้ำเสียงราบเรียบของลุงไกว งามยิ่ง ชาวโพล่ง ณ บ้านห้วยหินดำ จ. สุพรรณบุรี นั่นสิ...หากมนุษย์ไม่เคยตั้งคำถามถึงความหมายของการดำรงอยู่ ไม่เห็นความหมายและคุณค่าในการธำรงวัฒนธรรมของตนเอง มนุษย์จะยึดโยงตนเองกับอะไร เราจะดำรงชีวิตไปเพื่ออะไร
เมื่อวันที่ 12-14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) จัดสัมมนาผู้นำเครือข่ายกะเหรี่ยงภาคตะวันตก 3 จังหวัด (อุทัยธานี สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี) กับนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงตามมติ ครม.3 สิงหาคม 2553 ณ วัดถ้ำองจุ ต.นาสวน อ. ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี โดยเชิญตัวแทนชาวโพล่งซึ่งถือเป็นกลุ่มหนึ่งของกะเหรี่ยง “กะเหรี่ยง” ในที่นี้หมายถึงปกาเกอญอ/จกอร์ โพล่งหรือโผล่ว กะยาห์ กะยัน และปะโอ ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทย) แต่ใน 3 จังหวัด กว่า 50 ท่าน มาร่วมระดมความคิดเกี่ยวกับการทำงานตามแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตกะเหรี่ยง
บรรยากาศเริ่มด้วยการพูดคุยจากนักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรโดยคุณสรินยา คำเมืองที่นำวิดีทัศน์เกี่ยวกับแนวนโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 สิงหาคม 2553 พร้อมทั้งเล่าถึงการทำงานของคณะอำนวยกรรมการฯที่ทำงานผลักดันตลอด 3 ปี ในฐานะของสถาบันวิชาการที่ทำงานด้านชาติพันธุ์จึงได้จัดสัมมนาดังกล่าวขึ้นเพื่อระดมความคิด ขบคิดปัญหา เพื่อพัฒนากิจกรรมให้ตอบสนองนโยบายและให้กิจกรรมนั้นเป็นกิจกรรมที่ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวโพล่งอย่างแท้จริง
ขอ 3 คำ ในนามของความเป็นโพล่ง “ความเชื่อ ป่า และภูมิปัญญา”
ก่อนเข้าสู่การระดมความคิด ลุงไกว งามยิ่ง ชาวโพล่งแห่งบ้านห้วยหินดำ อ. ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี หรือพี่ไกวของพี่น้องชาวโพล่งเครือข่ายกะเหรี่ยงภาคตะวันตกเล่าให้ฟังว่า วิถีชีวิตของคนโพล่ง สรุปง่ายเพียง 3 คำ คือ ความเชื่อ ป่า และภูมิปัญญา ดังนั้น หากจะฟื้นฟูวิถีชีวิตกะเหรี่ยงตามมติ ครม. 3 สิงหาคม 2553 แล้ว การฟื้นฟูเร่งด่วนก็ควรเป็นเรื่องการฟื้นฟูใน 3 เรื่องใหญ่นี้
ลุงไกวเล่าว่าบ้านห้วยหินดำ จ.สุพรรณบุรี กำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องการสืบทอดวัฒนธรรม เพราะเยาวชนไม่ค่อยให้ความสนใจประเพณีวัฒนธรรมของคนโพล่งมากนัก โดยลุงเห็นว่า หากไม่เร่งฟื้นฟู ก็กลัวว่าต่อไปคนโพล่งจะละทิ้งประเพณีวัฒนธรรมของตนเอง “เดี๋ยวนี้เด็กไม่ค่อยสนใจเข้าร่วมประเพณีวัฒนธรรมของโพล่งมากนัก บ้างก็ติดดูทีวี ติดโทรศัพท์ การเรียนรู้ภาษาไทย พูดภาษาไทยได้ พูดภาษาอังกฤษได้ ใช้อินเตอร์เน็ตเป็น ก็เป็นสิ่งที่เด็กควรเรียนรู้และทำให้เป็น เพื่อจะได้ติดตามโลกได้ทัน แต่ขณะเดียวกัน เราก็ไม่ควรจะหลงอยู่ในความเจริญหรือหลงในวัตถุจนละเลย ละทิ้งวัฒนธรรมที่เป็นรากแก้วของตนเอง”
ข้อกังวลของลุงไกวเป็นประเด็นสำคัญที่ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในหลายๆจังหวัดกำลังประสบอยู่ และในแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 สิงหาคม 2553 ประเด็นในการฟื้นฟูอัตลักษณ์ชาติพันธุ์และวัฒนธรรมก็เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งฟื้นฟู แต่อย่างไรก็ตาม ในเชิงรูปธรรมก็ดูเหมือนว่าการปฏิบัติการยังไม่เห็นผลมากนัก
ทบทวนปัญหา แสวงหาทางออก
ในเวทีจึงมีการระดมความคิดรายจังหวัด โดยให้แต่ละจังหวัดร่วมกันระดมความคิด เขียนฟลิปชาร์ตและนำเสนอปมปัญหาและแนวทางแก้ไข ตัวแทนโพล่งจาก จ. อุทัยธานี เห็นว่า การแสดงออกทางวัฒนธรรมผ่านการแต่งกาย การพูดภาษากะเหรี่ยงกำลังลดน้อยลง แต่งชุดประจำเผ่าน้อยลง ขาดกระบวนการถ่ายทอดวัฒนธรรมในระดับครอบครัว/ชุมชน เหล้า เบียร์ แพร่เข้ามาในชุมชนมากขึ้น ขาดโอกาสในการดูแล/จัดการทรัพยากรธรรมชาติ
แนวทางในการฟื้นฟูวัฒนธรรม เห็นว่า พ่อแม่ควรเป็นต้นแบบในการพูดภาษากะเหรี่ยง โรงเรียนควรส่งเสริม สนับสนุนการเรียนการสอนภาษากะเหรี่ยงในโรงเรียนและควรมีการรณรงค์ให้เด็กและเยาวชนมีสำนึกทางวัฒนธรรม มีการกำหนดให้แต่งชุดประจำเผ่าในวันสำคัญของชุมชน เป็นต้น
ในขณะที่ตัวแทนคนโพล่ง จ. กาญจนบุรี สะท้อนปัญหาในฟริปชาร์ทว่า พื้นที่ทำไร่หมุนเวียนมีจำกัด จากเดิมเคย หมุนได้รอบละ5-7 ปี แต่ในปัจจุบัน ประชากรเพิ่มมากขึ้น แต่พื้นที่ทำกินเท่าเดิม ทำให้รอบในการหมุนไร่หมุนเวียนได้เพียง 2-3 ปี มีผลให้การฟื้นฟูสภาพดินในไร่ไม่สมบูรณ์ พืชที่ปลูกก็ได้ผลิตผลน้อยลง ในด้านวัฒนธรรมก็พบว่ามีการสืบทอดวัฒนธรรมภาษาและการแต่งกายชุดกะเหรี่ยงน้อยลง ข้อเสนอแนะ กำหนดวันแต่งกายประจำเผ่ากะเหรี่ยง ทุก 15 ค่ำของเดือน สร้างองค์ความรู้ให้กับเด็กเยาวชนในพื้นที่ สร้างจิตสำนึกให้ปฏิบัติตามจารีตประเพณีท้องถิ่น
ส่วนคนโพล่ง จ. สุพรรณบุรี เห็นว่าควรมุ่งฟื้นฟูวัฒนธรรมภูมิปัญญาโดยเริ่มจากการสอนภาษากะเหรี่ยง สนับสนุนให้ พ่อ-แม่ของแต่ละครอบครัวสอนภาษาและวัฒนธรรมกะเหรี่ยง ดำเนินชีวิตตามวิถีชีวิตกะเหรี่ยง เป็นต้น
จากการระดมความคิดเห็นของคนโพล่งทั้ง 3 จังหวัด จะเห็นว่ามีจุดร่วมกันทั้งในเชิงปัญหาใกล้เคียงกันคือ เรื่องอัตลักษณ์ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม 2. เรื่องพื้นที่ทำกิน และแนวทางแก้ไขล้วนเห็นพ้องกันว่าควรเร่งฟื้นฟูอัตลักษณ์สำคัญของโพล่งคือภาษาและความเชื่อและภูมิปัญญา หากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้รับการฟื้นฟู และส่งทอดสู่รุ่นเยาวชน การสืบทอดวัฒนธรรมโพล่งคงจะยิ่งลดน้อยลงไปและสุ่มเสี่ยงต่อการถูกกลืนกลายทางวัฒนธรรม
อย่างไรก็ดี การจัดเวทีระดมความคิดปัญหาและการแสวงหาแนวทางปฏิบัติเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ยังเป็นเรื่องราวที่ต้องผ่านการขบคิดและปฏิบัติอย่างจริงจังทั้งในฝ่ายของคนโพล่งภาคตะวันตก และภาครัฐที่เกี่ยวข้องซึ่งดูเหมือนว่าการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 สิงหาคม 2553 เป็นหนังเรื่องยาวที่ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยเพียงการมี “คำสั่ง” มติคณะรัฐมนตรี แต่ต้องมีการทำงานจริงจังและต่อเนื่องจากหลายภาคส่วน ซึ่งในวันนี้ดูเหมือนว่ามติคณะรัฐมนตรีนั้นเป็นเพียงคำสั่งที่ขาดการปฏิบัติการอย่างจริงจัง
ในวันที่โลกหมุนไวตามปัจจัยความเจริญของเทคโนโลยี คำพูดของลุงไกวที่ว่า “ถ้าไม่มีความเชื่อความศรัทธา ก็ไม่มีวัฒนธรรม และถ้าไม่มีวัฒนธรรม ชีวิตมนุษย์จะยึดโยงกับอะไร”กระทบใจคนเมืองอย่างเราๆ บ้างหรือไม่
เรื่องการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง แม้จะเป็นเรื่องที่ดูจะเฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยง แต่อีกนัยหนึ่ง “การฟื้นฟู” บ่งบอกอะไรกับสังคมบ้าง แล้วกับคนเมืองล่ะ ยังมีตั้งคำถามเชิงวัฒนธรรมของตนเองบ้างหรือเปล่า หรือว่าเรามิได้สนใจเรื่องราวทางวัฒนธรรมแบบนั้นอีกแล้ว เพราะเรามีเรื่องปากท้อง ฐานะและภาวะมั่งคงในการดำรงตนเป็นคนเมือง คำถามที่น่าสนใจคือ ในขณะที่วัฒนธรรมของกลุ่มชนที่หลากหลายกำลังตั้งคำถามถึงการมีอยู่ ความพยายามในการสืบทอดวัฒนธรรมของตนเองอย่างยิ่งยวด แล้วคนเมืองอย่างเราล่ะ ตั้งคำถามถึงวัฒนธรรมของตนเองบ้างหรือไม่
|