Hopeless at Sea, Homeless on Land อูรักลาโว้ย หาดราไวย์ ภูเก็ต
บทความโดย :
โดยทีมงาน | โพสเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2555 16:48 น.
ทะเลสีคราม ตัดกับฟ้าใสยามแดดแจ้ง บนท้องน้ำมีเรือหัวโทงของอูรักลาโว้ยลอยอยู่หลายลำ และหากมองไปให้ไกลสักหน่อยก็จะเห็นเรือยอร์ชลำเล็กซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาแสวงหาความงดงาม ณ หาดราไวย์ ภูเก็ต
สำหรับฉันภาพนี้คือความงดงาม คือ ความบริสุทธิ์ที่ธรรมชาติแห่งท้องทะเล ดำรงมาช้านาน ภาพท้องทะเลหาดราไวย์ไม่ได้มีความหมาย หรือความผูกพันอันใดเกินไปกว่าภาพความงดงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง และแต่สำหรับอูรักลาโว้ย หาดราไวย์ ทะเลเป็นมากกว่าภาพงดงาม มากกว่าบ้าน มากกว่าแหล่งทำมาหากิน หรืออาจจะมากเท่ากับชีวิตของเขาก็เป็นได้
เมื่อวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ฉันได้รับมอบหมายให้ไปร่วมสังเกตการณ์การประชุมคณะกรรมการ อำนวยการบูรณาการเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล(อูรักลาโว้ย มอแกน และมอแกลน เรียกรวมกันว่า ชาวเล แต่ทั้งนี้ทั้งสามกลุ่มมิได้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน เพราะต่างมีกลุ่มภาษาที่แตกต่างกันเป็นเครื่องบ่งบอกชาติพันธุ์) โดยมีปลัดกระทรวงวัฒนธรรม สมชาย เสียงหลาย และคณะ ซึ่งประกอบด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ และผู้แทนศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ร่วมเดินทางลงพื้นที่และประชุมติดตามผลการดำเนินงานตามมติ ครม.ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล จ.ภูเก็ต กับผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัด สภาวัฒนธรรมจังหวัด ประธานสภาเทศบาล และยังมีองค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค องค์การบริหารส่วนตำบล เจ้าของที่ดินที่อูรักลาโว้ยหาดราไวย์อาศัยอยู่ และตัวแทนอูรักลาโว้ยหาดราไวย์
ในการประชุมครั้งนี้เพื่อที่ต้องการจะรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของชาวเลใน จังหวัดภูเก็ตใน 3 หมู่บ้าน คือ หมู่บ้านสะปำ ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต หมู่บ้านแหลมตุ๊กแก ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต หมู่บ้านราไวย์ ตำบลราไวย์ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
ชาวอูรักลาโว้ย คนไข้ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา

ลุงหงิม ดำรงเกษตร หัวหน้าชุมชนอูรักลาโว้ย หาดราไวย์ วัย 66ปี เล่าว่า อูรักลาโว้ยมีความผูกพันกับท้องทะเล สังเกตและสั่งสมประสบการณ์และบ่มเพาะภูมิปัญญาการทำประมงจากท้องทะเล การดำน้ำ ได้ปลูกฝังและถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกหลาน ผ่านการเรียนรู้ในห้องเรียนมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่
“ชาวอูรักลาโว้ยรู้ว่า ชีวิตของตนเองเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของทะเลอันกว้างใหญ่ และการที่กลุ่มเราสามารถดำรงอยู่ได้ถึงปัจจุบันก็เป็นเพราะความผูกพัน สำนึกคุณของท้องทะเล บางครั้งเราลอยเรือฝ่าคลื่น ลม และพายุ แต่ด้วยเราสำนึกว่าเราคือลูกของท้องทะเล แม้จะมีคลื่นซัด มีพายุ เราก็รอดมาได้ สำหรับอูรักลาโว้ยอย่างเรา ทะเลจึงเป็นมากกว่าบ้าน ปลาในท้องทะเลก็เหมือนกัน เราจับเพื่อเป็นอาหาร เพื่อยังชีพเท่านั้น เราได้เรียนรู้เรื่องราวของทะเล ของธรรมชาติผ่านปลา กระแสน้ำ ทุกชั้นน้ำ กระแสลม ท้องฟ้า ทุกๆ อย่างในทะเลทำให้เราได้เรียนรู้ ทุกชีวิตในทะเลมีเรื่องราว มีคุณค่าต่อเราชาวอูรักลาโว้ยทั้งนั้น”
แม้ชาวอูรักลาโว้ยจะมีความผูกพันในท้องทะเลมากเพียงใด แต่นั่นอาจไม่ได้เป็นหลักประกันว่าชาวอูรักลาโว้ยจะสามารถอาศัยและมีวิถีลูก ทะเลอย่างที่บรรพบุรุษเคยทำมา
ติดเชื้อไวรัส และยังไม่ได้รับยาฆ่าเชื้อ
ปัญหาหลักๆ ที่สร้างความเดือดร้อนชาวเลในจังหวัดภูเก็ต เช่น ปัญหาไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในที่ดินของเอกชน ด้านสาธารณูปโภคไม่สะดวก เช่น อูรักลาโว้ยต้องซื้อไฟฟ้าและประปาในราคาสูงจากเอกชน อูรักลาโว้ยไม่สามารถขอไฟฟ้าใช้ได้เอง เพราะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ปัญหาสุขลักษณะอนามัยและสิ่งแวดล้อม ปัญหาด้านการศึกษาและสัญชาติ ปัญหาการประกอบอาชีพ
ปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้เป็นปัญหาใหม่ หรือเพิ่งจะเริ่มมีการพูดคุยแต่อย่างใด หากแต่เป็นปัญหาคลาสสิกที่เกิดขึ้นกับทั้งชาวอูรักลาโว้ย กลุ่มชาติพันธุ์อื่น รวมทั้งคนชายขอบอื่นๆ ก็มักจะประสบปัญหาดังกล่าว เป็นปัญหามหภาค ปัญหาลูกโซ่ และถือว่าเป็นปัญหาพื้นฐานของการดำเนินชีวิตก็ว่าได้ ปัญหาใหญ่ที่สุดและจำเป็นต้องแก้ไขก่อนอย่างอื่น คือ เรื่องที่อยู่อาศัย อูรักลาโว้ยเสนอให้รัฐเข้ามาซื้อที่ดินหาดราไวย์ให้ แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาช่วยเพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ปัญหาเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนการติดเชื้อไวรัส หากไม่ได้รับการรักษา ไม่ได้รับยาต้านเชื้อไวรัส ไฉนเลยโรคภัยจะหายขาดได้ นอกจากไม่หายขาดแล้ว ก็อาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อน เกิดปัญหาอื่นตามมามากมาย เท่าที่ผ่านมา โรคภัยของชาวเลดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการรักษาอย่างตรงประเด็นเท่าที่ควร
ลุงหงิมเล่าว่า “ทุกวันนี้ เรื่องที่เราลำบากที่สุดก็เป็นเรื่องที่อยู่ เพราะอะไรๆ (สังคม สิ่งแวดล้อม)ก็เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว เราเองก็เข้าใจว่า เราคงไม่อาจจะใช้ชีวิตแบบเดิมอย่างที่เราเคยเป็นได้ เราต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองเช่นเดียวกัน แต่ด้วยวิถีชีวิตของเรา ชาวอูรักลาโว้ยที่ผูกพันกับทะเล ทำประมง จะให้เราเปลี่ยน แปลงปุ๊บปั๊บ ไปเรียนหนังสือเพื่อหางานทำในกรุงเทพฯ หรือเก็บสะสมเงินทองเพื่อมาซื้อที่ดิน ปลูกบ้าน ซื้อรถยนต์เหมือนคนกลุ่มอื่นทำ อย่างนั้นก็ดูจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดของเราอยู่มากสักหน่อย”
ลุงหงิมเล่าเสริมอีกว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2518 เจ้าของที่ดินได้แสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินหาดราไวย์นี้ ทำให้อูรักลาโว้ยและมอแกนที่อาศัยบริเวณหาดราไวย์เริ่มตระหนักได้ว่า บ้านที่เขายึดให้เป็นเรือนตาย ณ ชายหาดแห่งนี้ อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดแล้ว
“สำหรับเรา ท้องทะเล หาดราไวย์ ก็คือบ้าน เราไม่คิดมาก่อนว่าบ้านที่บรรพบุรษอยู่กันมานับร้อยปีนี้ จะหลุดลอยเพียงเพราะกระดาษ(โฉนด)เพียงแผ่นเดียว”

นอกจากเรื่องที่อยู่อาศัยแล้ว เรื่องพื้นที่ในการทำประมงก็เป็นปัญหาของอูรักลาโว้ยอยู่ไม่น้อย การทำประมงของอูรักลาโว้ยขึ้นอยู่สภาพดินฟ้าอากาศ ถ้าไม่มีลมมรสุมก็สามารถหาปลาได้มาก แต่ถ้าเป็นช่วงมรสุมก็ออกเรือไม่ได้ ดังนั้นในช่วงที่ไม่มีมรสุม อูรักลาโว้ยจะต้องหาปลาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะถือเป็นช่วงที่สร้างรายได้ แต่อย่างไรก็ตาม อุปสรรคการทำประมงของอูรักลาโว้ยไม่ได้มีเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ยังมีเรื่องของกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั้นคือ การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล ตั้งแต่เกาะสินไห-สน จ. ระนองเรื่อยลงมาถึง เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล มีผลให้ห้ามทำการจับสัตว์น้ำ การทำประมงของอูรักลาโว้ยเหลือพื้นที่ลดน้อยลงกว่าเดิมมาก สวนทางกับจำนวนประชากรอูรักลาโว้ยที่เพิ่มมากขึ้น อาหารและความจำเป็นการหาเลี้ยงชีพก็ต้องเพิ่มตามไปด้วย
“สมัยก่อน เราหาปลาได้มาก ล่องเรือไปได้ไกล ตั้งแต่ระนองลงมาถึงหมู่เกาะอาดังราวี จ. สตูล แต่ปัจจุบัน เหลือพื้นที่ให้ชาวเลทำประมงเพียงหาดราไวย์ และเกาะราชาใหญ่เท่านั้น มีพวกเราบางคนที่เข้าไปทำประมงก็จะถูกทางการจับและยึดเรือ สำหรับพวกเรา การโดนจับก็ลำบากมากพอแล้ว เพราะไม่มีปัญญาจะต่อต้านขัดขืน แล้วยิ่งมาถูกยึดเรือที่มีไว้ทำมาหากินด้วยแล้ว เราก็ยิ่งไม่เหลืออะไรเลย”
ในเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลผ่านการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล ลุงหงิมได้แสดงความคิดเห็นว่าการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล เพื่อการอนุรักษ์นั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวอูรักลาโว้ยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจคือ รัฐยังมองว่าชาวเล ชาวอูรักลาโว้ยเป็นกลุ่มชนที่ทำลายทะเล
“ผมเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์ การประกาศเป็นเขตอุทยานนั้นก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะความสมบูรณ์ทางทะเลใช้เวลายาวนาน แต่การทำลายเพียงครู่เดียว ความสมบูรณ์ ความงดงามของทะเลที่สั่งสมมานานก็มิอันสูญสลาย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมรัฐถึงมองว่าเรา อูรักลาโว้ย จะเป็นตัวทำลายทรัพยากร ทั้งๆที่เราก็ทำประมงเพื่อเลี้ยงชีพ อุปกรณ์ที่จะทำประมงของเราก็เป็นแบบพื้นบ้าน มีแค่เรือหัวโทง การจับปลา พวกเราบางคนก็ยังใช้วิธีจับปลาแบบเดิม คือดำน้ำลงไปจับกุ้งมังกร แล้วอย่างนี้ ทำไมรัฐจึงมองว่าเราเป็นผู้ร้าย”
“ทุกวันนี้อูรักลาโว้ยยังทำประมง (ในพื้นที่อนุญาตซึ่งน้อยลงกว่าในอดีต)และนำปลามาขายที่ชายหาด เราต้องรับจ้างเป็นเรือเมล์รับ-ส่งนักท่องเที่ยวตามเกาะต่างๆ โดยเสียค่าขึ้นทะเบียนเรือปีละ500บาท ต่อลำ เราไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศท่องเที่ยวที่ฝ่ายจังหวัดสนับสนุน ชาวอูรักลาโว้ยส่วนใหญ่ อยากที่จะรักษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของอูรักลาโว้ยไว้ให้เป็นอย่างเดิมมาก ที่สุด ไม่อยากปรับเปลี่ยนไปเป็นคนรับจ้าง อยากจะหาปลา แต่ก็หาไม่ได้มากนัก เพราะพื้นที่หาปลาถูกจำกัดเป็นเขตอุทยาน”
ในวันนี้ วันที่สังคมกระแสโลกวิ่งวนไปข้างหน้าตามกระแสโลกาภิวัตน์ วิถีอูรักลาโว้ยที่เคยมี เคยเป็น จะยังคงดำเนินไปแบบเดิมได้อีกหรือไม่ อูรักลาโว้ย ไม่มีโฉนดที่ดิน ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน และไม่มีเงินซื้อที่ดินคืนจากเจ้าของโฉนด ไม่มีสิทธิทางกฎหมาย และกำลังจะไม่มีตัวตน พวกเขายังจะมีสิทธิเรียกร้องเพื่อตนเองได้อีกหรือไม่
ไวรัสร้ายโลกาภิวัตน์กับอูรักลาโว้ย
นอกจากปัญหาคลาสสิกของอูรักลาโว้ยดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งหนึ่งที่รู้สึกอยู่ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ในลักษณะของคู่ตรงข้ามระหว่าง อูรักลาโว้ย vsรัฐ อูรักลาโว้ย vs เจ้าของที่ดินเท่านั้น แต่หากมองให้ลึกซึ้งไปกว่านั้น ปัญหาของอูรักลาโว้ยก็ตอกย้ำให้เห็นพลานุภาพของความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้ชื่อโลกาภิวัตน์ด้วย
เป็นไปได้ไหมว่า ความเจริญทางวัตถุ การปรับเปลี่ยนสภาพสังคมและการดำเนินชีวิตอย่างรวดเร็ว ทำให้อูรักลาโว้ยถูกมองจากสังคมกระแสหลักว่าเป็นอื่น แตกต่าง ไม่ปรับตัว ล้าหลัง
จากบรรยากาศการประชุมเพื่อรับทราบปัญหาในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า ปัญหาความไม่เข้าใจและอคติทางวัฒนธรรมที่มีต่อกันระหว่างคนกระแสหลัก ได้แก่ ชาวภูเก็ตและเจ้าหน้าที่รัฐบางคนยังมีอยู่แน่นอน บ้างมองว่าอูรักลาโว้ยไม่ปรับตัวตามสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เรียกร้องมากเกินไป อูรักลาโว้ยไม่ทำงาน บ่ายก็นอน มีลูกเยอะ ไม่คุมกำเนิด ประชากรอูรักลาโว้ยเพิ่มมากขึ้น ที่อยู่อาศัยก็เลยคับแคบ พอเจอปัญหาก็เรียกร้องขอความช่วยเหลืออย่างเดียว ไม่แก้ปัญหาของตนเอง ส่วนชาวอูรักลาโว้ยก็มองว่ารัฐไม่คิดช่วยเหลืออย่างจริงจัง สองมาตรฐาน ช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้ยิ่งตอกย้ำทัศนคติของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อกันให้เป็น ไปในทางลบ
ลุงหงิมเล่าว่า ชาวอูรักลาโว้ยมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ทำประมงเพื่อยังชีพ ผู้ชายจะทำประมงจะเรียนรู้ความเป็นไปของทะเล ส่วนผู้หญิงจะอยู่บ้านเลี้ยงลูก ชีวิตของชาวอูรักลาโว้ยจึงเรียบง่าย ไม่ไขว่คว้าสะสมข้าวของเครื่องใช้อะไรให้มากมายนัก
“พวกเราส่วนใหญ่ยากจน และไม่ได้อยากมีเครื่องใช้อำนวยความสะดวกสักเท่าไหร่ แต่ก็มีบางบ้านที่พอมีฐานะ ก็จะติดจานทีวีทรูชาแนล ใช้โทรศัพท์มือถือ แต่ทั้งนี้ ผมก็เห็นว่าเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ใครมีจะจ่าย จะใช้ก็ใช้ไป แต่ในส่วนของการผลักดันให้แก้ปัญหาเรื่องที่ดิน จะร่วมกันแก้ไขปัญหา ทุกวันนี้สังคมมันเปลี่ยน มีข้าวของเครื่องใช้มาล่อใจมากมาย ชาวอูรักลาโว้ยไม่น้อยที่เป็นหนี้นอกระบบ”
“ทุกวันนี้พวกเรายังมีความหวัง ยังมุ่งหน้าเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหาต่อไป สิ่งหนึ่งที่เราได้รับคำแนะนำมา คือ การพิสูจน์ให้เห็นว่าบรรพบุรุษของเราอาศัยที่นี่มาก่อนนับร้อยปี โดยใช้ภาพถ่ายทางกาศเป็นเครื่องยืนยัน”
แม้ปัญหาของชาวอูรักลาโว้ยจะมากมายหลายด้านเพียงใด แต่พวกเขาก็จะพยายามเรียกร้องสิทธิของการเป็นพลเมืองไทย ลุงหงิมตั้งความหวังไว้ว่าอย่างน้อยที่สุด อูรักลาโว้ย หาดราไวย์ควรจะมีสิทธิในพื้นที่ เพื่อต่อไปลูกหลานอูรักลาโว้ยจะได้อยู่กันเป็นชุมชน ไม่ต้องแตกกระสานซ่านเซ็น หรือล่มสลาย
เขตวัฒนธรรมพิเศษ” หรือ “โฉนดชุมชน” ยาต้านเชื้อ วัคซีน หรือวิตามิน

“เขตวัฒนธรรมพิเศษ”หรือ “โฉนดชุมชน” เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่กำลังศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการใช้เขตวัฒนธรรมพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหามหภาคของทั้งกลุ่มชาวเลและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่ประสบ ปัญหาในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตาม สาระและกระบวนการของการจัดตั้งเขตวัฒนธรรมพิเศษและโฉนดชุมชนก็มีปัญหาและ ความท้าทายในการจะนำมาแก้ไขปัญหา หรือพูดให้ชัดเจนว่า เขตวัฒนธรรมพิเศษจะเป็นทางออกที่แท้จริงหรือไม่นั้น ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเปรียบเทียบถึงผลอันจะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะ ยาว
อย่างไรก็ตาม มติ ครม. เรื่องแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลที่ได้รับการเห็นชอบเมื่อ 2 มิถุนายน 2553 ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี ในการผลักดันสานฝันชาวเลให้เป็นจริง แม้ว่าเส้นทางการแก้ไขปัญหาจะยากเย็นและต้องอาศัยแรงประสานจากหลากหลายก็ตาม แต่ก็ถือว่าชาวเลยังมีความหวังในการแก้ไขปัญหา และเหนือสิ่งอื่นใด ความเข้มแข็งภายในชุมชน ต้องสร้างโอกาสทางการศึกษาให้มากขึ้น เพื่อต่อไปจะได้เป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มชนตนเอง
ลุงหงิม เล่าตบท้ายอีกว่า“พวกเราชาวอูรักลาโว้ย ก็รู้สึกว่าเราเป็นลูกทะเล เกิดและอยู่กับทะเล ถ้าถามว่าทำไมอูรักลาโว้ยไม่สร้างสมสมบัติแล้วไปหาซื้อที่ดินเหมือนคนอื่น เราขอตอบเลยว่า สำหรับเรา บ้านก็คือ ทะเล ที่ทำกินของเราก็คือ ทะเล บรรพบุรุษเราก็อยู่กับทะเล วิถีชีวิตของเราผูกพันกับทะเล ทะเลเป็นมากกว่าบ้าน ทะเลเป็นชีวิต เราจะหาเงินมาซื้อทะเลนี้ได้ไหม ในเมื่อเราเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของธรรมชาติ”
หรือว่าโลกาภิวัตน์ทำให้อูรักลาโว้ยตั้งข้อสงสัยว่า ความพยายามอนุรักษ์วิถีชีวิตของอูรักลาโว้ยไว้ การหาปลา การดำน้ำ ความคิดความเชื่อ ภูมิปัญญา วัฒนธรรมอูรักลาโว้ย การไม่ได้คิดว่าต้องทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย การส่งลูกเรียนหนังสือและให้มาหางานทำในเมือง ฯลฯ เป็นความผิดหรือไร ทำไมเส้นทางที่พวกเขาพยายามจะธำรงอัตลักษณ์จึงเลือนลางเช่นนี้ เป็นคำถามที่ยากจะตอบและคงต้องติดตามผลกันต่อไป แม้ว่าลุงหงิม ชาวเล กลุ่มชาติพันธุ์ และคนชายขอบทั้งหลายจะตั้งคำถามมากมายเพียงใด แต่ดูเหมือนว่าสิ่งเดียวที่จะเป็นคำตอบได้ในขณะนี้ คือ เวลา
******************************************
รุ้งตะวัน อ่วมอินทร์
นักวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)
|