สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  บทความชาติพันธุ์

Hopeless at Sea, Homeless on Land อูรักลาโว้ย หาดราไวย์ ภูเก็ต
บทความโดย : โดยทีมงาน | โพสเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2555 16:48 น.
 





          ทะเลสีคราม ตัดกับฟ้าใสยามแดดแจ้ง บนท้องน้ำมีเรือหัวโทงของอูรักลาโว้ยลอยอยู่หลายลำ และหากมองไปให้ไกลสักหน่อยก็จะเห็นเรือยอร์ชลำเล็กซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาแสวงหาความงดงาม ณ หาดราไวย์ ภูเก็ต

        สำหรับฉันภาพนี้คือความงดงาม คือ ความบริสุทธิ์ที่ธรรมชาติแห่งท้องทะเล ดำรงมาช้านาน ภาพท้องทะเลหาดราไวย์ไม่ได้มีความหมาย หรือความผูกพันอันใดเกินไปกว่าภาพความงดงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง และแต่สำหรับอูรักลาโว้ย หาดราไวย์ ทะเลเป็นมากกว่าภาพงดงาม มากกว่าบ้าน มากกว่าแหล่งทำมาหากิน หรืออาจจะมากเท่ากับชีวิตของเขาก็เป็นได้

       เมื่อวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ฉันได้รับมอบหมายให้ไปร่วมสังเกตการณ์การประชุมคณะกรรมการ อำนวยการบูรณาการเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล(อูรักลาโว้ย มอแกน และมอแกลน เรียกรวมกันว่า ชาวเล แต่ทั้งนี้ทั้งสามกลุ่มมิได้เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน เพราะต่างมีกลุ่มภาษาที่แตกต่างกันเป็นเครื่องบ่งบอกชาติพันธุ์)  โดยมีปลัดกระทรวงวัฒนธรรม สมชาย เสียงหลาย และคณะ ซึ่งประกอบด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ และผู้แทนศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ร่วมเดินทางลงพื้นที่และประชุมติดตามผลการดำเนินงานตามมติ ครม.ฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล จ.ภูเก็ต กับผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัด  สภาวัฒนธรรมจังหวัด ประธานสภาเทศบาล และยังมีองค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค องค์การบริหารส่วนตำบล  เจ้าของที่ดินที่อูรักลาโว้ยหาดราไวย์อาศัยอยู่ และตัวแทนอูรักลาโว้ยหาดราไวย์

         ในการประชุมครั้งนี้เพื่อที่ต้องการจะรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของชาวเลใน จังหวัดภูเก็ตใน 3 หมู่บ้าน  คือ หมู่บ้านสะปำ ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต  หมู่บ้านแหลมตุ๊กแก ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต หมู่บ้านราไวย์ ตำบลราไวย์ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

ชาวอูรักลาโว้ย คนไข้ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา
 

        ลุงหงิม ดำรงเกษตร หัวหน้าชุมชนอูรักลาโว้ย หาดราไวย์ วัย 66ปี เล่าว่า อูรักลาโว้ยมีความผูกพันกับท้องทะเล สังเกตและสั่งสมประสบการณ์และบ่มเพาะภูมิปัญญาการทำประมงจากท้องทะเล การดำน้ำ ได้ปลูกฝังและถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกหลาน ผ่านการเรียนรู้ในห้องเรียนมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ 

      “ชาวอูรักลาโว้ยรู้ว่า ชีวิตของตนเองเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของทะเลอันกว้างใหญ่ และการที่กลุ่มเราสามารถดำรงอยู่ได้ถึงปัจจุบันก็เป็นเพราะความผูกพัน สำนึกคุณของท้องทะเล บางครั้งเราลอยเรือฝ่าคลื่น ลม และพายุ แต่ด้วยเราสำนึกว่าเราคือลูกของท้องทะเล แม้จะมีคลื่นซัด มีพายุ เราก็รอดมาได้  สำหรับอูรักลาโว้ยอย่างเรา  ทะเลจึงเป็นมากกว่าบ้าน  ปลาในท้องทะเลก็เหมือนกัน เราจับเพื่อเป็นอาหาร เพื่อยังชีพเท่านั้น เราได้เรียนรู้เรื่องราวของทะเล ของธรรมชาติผ่านปลา กระแสน้ำ ทุกชั้นน้ำ กระแสลม ท้องฟ้า ทุกๆ อย่างในทะเลทำให้เราได้เรียนรู้  ทุกชีวิตในทะเลมีเรื่องราว มีคุณค่าต่อเราชาวอูรักลาโว้ยทั้งนั้น”

     แม้ชาวอูรักลาโว้ยจะมีความผูกพันในท้องทะเลมากเพียงใด แต่นั่นอาจไม่ได้เป็นหลักประกันว่าชาวอูรักลาโว้ยจะสามารถอาศัยและมีวิถีลูก ทะเลอย่างที่บรรพบุรุษเคยทำมา

 

 

ติดเชื้อไวรัส และยังไม่ได้รับยาฆ่าเชื้อ

       ปัญหาหลักๆ ที่สร้างความเดือดร้อนชาวเลในจังหวัดภูเก็ต เช่น ปัญหาไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในที่ดินของเอกชน  ด้านสาธารณูปโภคไม่สะดวก เช่น  อูรักลาโว้ยต้องซื้อไฟฟ้าและประปาในราคาสูงจากเอกชน อูรักลาโว้ยไม่สามารถขอไฟฟ้าใช้ได้เอง เพราะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย  ปัญหาสุขลักษณะอนามัยและสิ่งแวดล้อม ปัญหาด้านการศึกษาและสัญชาติ  ปัญหาการประกอบอาชีพ 

       ปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้เป็นปัญหาใหม่ หรือเพิ่งจะเริ่มมีการพูดคุยแต่อย่างใด หากแต่เป็นปัญหาคลาสสิกที่เกิดขึ้นกับทั้งชาวอูรักลาโว้ย กลุ่มชาติพันธุ์อื่น รวมทั้งคนชายขอบอื่นๆ ก็มักจะประสบปัญหาดังกล่าว เป็นปัญหามหภาค ปัญหาลูกโซ่ และถือว่าเป็นปัญหาพื้นฐานของการดำเนินชีวิตก็ว่าได้ ปัญหาใหญ่ที่สุดและจำเป็นต้องแก้ไขก่อนอย่างอื่น คือ เรื่องที่อยู่อาศัย  อูรักลาโว้ยเสนอให้รัฐเข้ามาซื้อที่ดินหาดราไวย์ให้ แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาช่วยเพราะต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก  ปัญหาเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนการติดเชื้อไวรัส หากไม่ได้รับการรักษา ไม่ได้รับยาต้านเชื้อไวรัส  ไฉนเลยโรคภัยจะหายขาดได้ นอกจากไม่หายขาดแล้ว ก็อาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อน เกิดปัญหาอื่นตามมามากมาย เท่าที่ผ่านมา โรคภัยของชาวเลดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการรักษาอย่างตรงประเด็นเท่าที่ควร

     ลุงหงิมเล่าว่า “ทุกวันนี้ เรื่องที่เราลำบากที่สุดก็เป็นเรื่องที่อยู่ เพราะอะไรๆ (สังคม สิ่งแวดล้อม)ก็เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว เราเองก็เข้าใจว่า เราคงไม่อาจจะใช้ชีวิตแบบเดิมอย่างที่เราเคยเป็นได้ เราต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองเช่นเดียวกัน แต่ด้วยวิถีชีวิตของเรา ชาวอูรักลาโว้ยที่ผูกพันกับทะเล  ทำประมง จะให้เราเปลี่ยน แปลงปุ๊บปั๊บ ไปเรียนหนังสือเพื่อหางานทำในกรุงเทพฯ หรือเก็บสะสมเงินทองเพื่อมาซื้อที่ดิน ปลูกบ้าน ซื้อรถยนต์เหมือนคนกลุ่มอื่นทำ อย่างนั้นก็ดูจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดของเราอยู่มากสักหน่อย”

           ลุงหงิมเล่าเสริมอีกว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 2518  เจ้าของที่ดินได้แสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินหาดราไวย์นี้ ทำให้อูรักลาโว้ยและมอแกนที่อาศัยบริเวณหาดราไวย์เริ่มตระหนักได้ว่า บ้านที่เขายึดให้เป็นเรือนตาย ณ ชายหาดแห่งนี้ อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิดแล้ว
   “สำหรับเรา ท้องทะเล หาดราไวย์ ก็คือบ้าน เราไม่คิดมาก่อนว่าบ้านที่บรรพบุรษอยู่กันมานับร้อยปีนี้ จะหลุดลอยเพียงเพราะกระดาษ(โฉนด)เพียงแผ่นเดียว”

 

          นอกจากเรื่องที่อยู่อาศัยแล้ว เรื่องพื้นที่ในการทำประมงก็เป็นปัญหาของอูรักลาโว้ยอยู่ไม่น้อย การทำประมงของอูรักลาโว้ยขึ้นอยู่สภาพดินฟ้าอากาศ ถ้าไม่มีลมมรสุมก็สามารถหาปลาได้มาก แต่ถ้าเป็นช่วงมรสุมก็ออกเรือไม่ได้ ดังนั้นในช่วงที่ไม่มีมรสุม อูรักลาโว้ยจะต้องหาปลาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะถือเป็นช่วงที่สร้างรายได้ แต่อย่างไรก็ตาม อุปสรรคการทำประมงของอูรักลาโว้ยไม่ได้มีเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ยังมีเรื่องของกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  นั้นคือ การประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล ตั้งแต่เกาะสินไห-สน จ. ระนองเรื่อยลงมาถึง เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล มีผลให้ห้ามทำการจับสัตว์น้ำ  การทำประมงของอูรักลาโว้ยเหลือพื้นที่ลดน้อยลงกว่าเดิมมาก สวนทางกับจำนวนประชากรอูรักลาโว้ยที่เพิ่มมากขึ้น อาหารและความจำเป็นการหาเลี้ยงชีพก็ต้องเพิ่มตามไปด้วย

       “สมัยก่อน เราหาปลาได้มาก ล่องเรือไปได้ไกล ตั้งแต่ระนองลงมาถึงหมู่เกาะอาดังราวี จ. สตูล แต่ปัจจุบัน เหลือพื้นที่ให้ชาวเลทำประมงเพียงหาดราไวย์ และเกาะราชาใหญ่เท่านั้น มีพวกเราบางคนที่เข้าไปทำประมงก็จะถูกทางการจับและยึดเรือ สำหรับพวกเรา การโดนจับก็ลำบากมากพอแล้ว เพราะไม่มีปัญญาจะต่อต้านขัดขืน  แล้วยิ่งมาถูกยึดเรือที่มีไว้ทำมาหากินด้วยแล้ว เราก็ยิ่งไม่เหลืออะไรเลย”

        ในเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลผ่านการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล ลุงหงิมได้แสดงความคิดเห็นว่าการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล เพื่อการอนุรักษ์นั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวอูรักลาโว้ยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจคือ รัฐยังมองว่าชาวเล ชาวอูรักลาโว้ยเป็นกลุ่มชนที่ทำลายทะเล

       “ผมเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์ การประกาศเป็นเขตอุทยานนั้นก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะความสมบูรณ์ทางทะเลใช้เวลายาวนาน แต่การทำลายเพียงครู่เดียว ความสมบูรณ์ ความงดงามของทะเลที่สั่งสมมานานก็มิอันสูญสลาย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมรัฐถึงมองว่าเรา อูรักลาโว้ย จะเป็นตัวทำลายทรัพยากร ทั้งๆที่เราก็ทำประมงเพื่อเลี้ยงชีพ อุปกรณ์ที่จะทำประมงของเราก็เป็นแบบพื้นบ้าน มีแค่เรือหัวโทง การจับปลา พวกเราบางคนก็ยังใช้วิธีจับปลาแบบเดิม คือดำน้ำลงไปจับกุ้งมังกร แล้วอย่างนี้  ทำไมรัฐจึงมองว่าเราเป็นผู้ร้าย”

      “ทุกวันนี้อูรักลาโว้ยยังทำประมง (ในพื้นที่อนุญาตซึ่งน้อยลงกว่าในอดีต)และนำปลามาขายที่ชายหาด เราต้องรับจ้างเป็นเรือเมล์รับ-ส่งนักท่องเที่ยวตามเกาะต่างๆ โดยเสียค่าขึ้นทะเบียนเรือปีละ500บาท ต่อลำ เราไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศท่องเที่ยวที่ฝ่ายจังหวัดสนับสนุน  ชาวอูรักลาโว้ยส่วนใหญ่ อยากที่จะรักษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของอูรักลาโว้ยไว้ให้เป็นอย่างเดิมมาก ที่สุด ไม่อยากปรับเปลี่ยนไปเป็นคนรับจ้าง อยากจะหาปลา แต่ก็หาไม่ได้มากนัก เพราะพื้นที่หาปลาถูกจำกัดเป็นเขตอุทยาน”
 ในวันนี้ วันที่สังคมกระแสโลกวิ่งวนไปข้างหน้าตามกระแสโลกาภิวัตน์  วิถีอูรักลาโว้ยที่เคยมี เคยเป็น จะยังคงดำเนินไปแบบเดิมได้อีกหรือไม่  อูรักลาโว้ย ไม่มีโฉนดที่ดิน ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน และไม่มีเงินซื้อที่ดินคืนจากเจ้าของโฉนด  ไม่มีสิทธิทางกฎหมาย และกำลังจะไม่มีตัวตน พวกเขายังจะมีสิทธิเรียกร้องเพื่อตนเองได้อีกหรือไม่

ไวรัสร้ายโลกาภิวัตน์กับอูรักลาโว้ย

         นอกจากปัญหาคลาสสิกของอูรักลาโว้ยดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งหนึ่งที่รู้สึกอยู่ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ในลักษณะของคู่ตรงข้ามระหว่าง อูรักลาโว้ย vsรัฐ อูรักลาโว้ย vs เจ้าของที่ดินเท่านั้น แต่หากมองให้ลึกซึ้งไปกว่านั้น  ปัญหาของอูรักลาโว้ยก็ตอกย้ำให้เห็นพลานุภาพของความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้ชื่อโลกาภิวัตน์ด้วย

         เป็นไปได้ไหมว่า ความเจริญทางวัตถุ การปรับเปลี่ยนสภาพสังคมและการดำเนินชีวิตอย่างรวดเร็ว ทำให้อูรักลาโว้ยถูกมองจากสังคมกระแสหลักว่าเป็นอื่น แตกต่าง ไม่ปรับตัว ล้าหลัง
          จากบรรยากาศการประชุมเพื่อรับทราบปัญหาในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า ปัญหาความไม่เข้าใจและอคติทางวัฒนธรรมที่มีต่อกันระหว่างคนกระแสหลัก ได้แก่ ชาวภูเก็ตและเจ้าหน้าที่รัฐบางคนยังมีอยู่แน่นอน บ้างมองว่าอูรักลาโว้ยไม่ปรับตัวตามสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไป  เรียกร้องมากเกินไป อูรักลาโว้ยไม่ทำงาน บ่ายก็นอน มีลูกเยอะ ไม่คุมกำเนิด ประชากรอูรักลาโว้ยเพิ่มมากขึ้น ที่อยู่อาศัยก็เลยคับแคบ พอเจอปัญหาก็เรียกร้องขอความช่วยเหลืออย่างเดียว ไม่แก้ปัญหาของตนเอง ส่วนชาวอูรักลาโว้ยก็มองว่ารัฐไม่คิดช่วยเหลืออย่างจริงจัง สองมาตรฐาน ช่องว่างที่เกิดขึ้นนี้ยิ่งตอกย้ำทัศนคติของทั้งสองฝ่ายที่มีต่อกันให้เป็น ไปในทางลบ

         ลุงหงิมเล่าว่า ชาวอูรักลาโว้ยมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ทำประมงเพื่อยังชีพ ผู้ชายจะทำประมงจะเรียนรู้ความเป็นไปของทะเล ส่วนผู้หญิงจะอยู่บ้านเลี้ยงลูก ชีวิตของชาวอูรักลาโว้ยจึงเรียบง่าย ไม่ไขว่คว้าสะสมข้าวของเครื่องใช้อะไรให้มากมายนัก

         “พวกเราส่วนใหญ่ยากจน และไม่ได้อยากมีเครื่องใช้อำนวยความสะดวกสักเท่าไหร่ แต่ก็มีบางบ้านที่พอมีฐานะ ก็จะติดจานทีวีทรูชาแนล ใช้โทรศัพท์มือถือ แต่ทั้งนี้ ผมก็เห็นว่าเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ใครมีจะจ่าย จะใช้ก็ใช้ไป แต่ในส่วนของการผลักดันให้แก้ปัญหาเรื่องที่ดิน จะร่วมกันแก้ไขปัญหา ทุกวันนี้สังคมมันเปลี่ยน มีข้าวของเครื่องใช้มาล่อใจมากมาย ชาวอูรักลาโว้ยไม่น้อยที่เป็นหนี้นอกระบบ”

         “ทุกวันนี้พวกเรายังมีความหวัง ยังมุ่งหน้าเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขปัญหาต่อไป สิ่งหนึ่งที่เราได้รับคำแนะนำมา คือ การพิสูจน์ให้เห็นว่าบรรพบุรุษของเราอาศัยที่นี่มาก่อนนับร้อยปี โดยใช้ภาพถ่ายทางกาศเป็นเครื่องยืนยัน”

         แม้ปัญหาของชาวอูรักลาโว้ยจะมากมายหลายด้านเพียงใด แต่พวกเขาก็จะพยายามเรียกร้องสิทธิของการเป็นพลเมืองไทย ลุงหงิมตั้งความหวังไว้ว่าอย่างน้อยที่สุด  อูรักลาโว้ย หาดราไวย์ควรจะมีสิทธิในพื้นที่ เพื่อต่อไปลูกหลานอูรักลาโว้ยจะได้อยู่กันเป็นชุมชน  ไม่ต้องแตกกระสานซ่านเซ็น หรือล่มสลาย

เขตวัฒนธรรมพิเศษ” หรือ “โฉนดชุมชน”  ยาต้านเชื้อ วัคซีน หรือวิตามิน

 

        “เขตวัฒนธรรมพิเศษ”หรือ “โฉนดชุมชน” เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่กำลังศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการใช้เขตวัฒนธรรมพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหามหภาคของทั้งกลุ่มชาวเลและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆที่ประสบ ปัญหาในลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ตาม สาระและกระบวนการของการจัดตั้งเขตวัฒนธรรมพิเศษและโฉนดชุมชนก็มีปัญหาและ ความท้าทายในการจะนำมาแก้ไขปัญหา หรือพูดให้ชัดเจนว่า เขตวัฒนธรรมพิเศษจะเป็นทางออกที่แท้จริงหรือไม่นั้น ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเปรียบเทียบถึงผลอันจะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะ ยาว 

         อย่างไรก็ตาม มติ ครม. เรื่องแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลที่ได้รับการเห็นชอบเมื่อ 2 มิถุนายน 2553 ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี ในการผลักดันสานฝันชาวเลให้เป็นจริง แม้ว่าเส้นทางการแก้ไขปัญหาจะยากเย็นและต้องอาศัยแรงประสานจากหลากหลายก็ตาม แต่ก็ถือว่าชาวเลยังมีความหวังในการแก้ไขปัญหา และเหนือสิ่งอื่นใด ความเข้มแข็งภายในชุมชน ต้องสร้างโอกาสทางการศึกษาให้มากขึ้น เพื่อต่อไปจะได้เป็นกระบอกเสียงให้กับกลุ่มชนตนเอง

          ลุงหงิม เล่าตบท้ายอีกว่า“พวกเราชาวอูรักลาโว้ย ก็รู้สึกว่าเราเป็นลูกทะเล เกิดและอยู่กับทะเล ถ้าถามว่าทำไมอูรักลาโว้ยไม่สร้างสมสมบัติแล้วไปหาซื้อที่ดินเหมือนคนอื่น เราขอตอบเลยว่า สำหรับเรา บ้านก็คือ ทะเล ที่ทำกินของเราก็คือ ทะเล บรรพบุรุษเราก็อยู่กับทะเล วิถีชีวิตของเราผูกพันกับทะเล  ทะเลเป็นมากกว่าบ้าน ทะเลเป็นชีวิต เราจะหาเงินมาซื้อทะเลนี้ได้ไหม  ในเมื่อเราเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของธรรมชาติ”

        หรือว่าโลกาภิวัตน์ทำให้อูรักลาโว้ยตั้งข้อสงสัยว่า ความพยายามอนุรักษ์วิถีชีวิตของอูรักลาโว้ยไว้ การหาปลา การดำน้ำ ความคิดความเชื่อ ภูมิปัญญา วัฒนธรรมอูรักลาโว้ย การไม่ได้คิดว่าต้องทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย การส่งลูกเรียนหนังสือและให้มาหางานทำในเมือง  ฯลฯ เป็นความผิดหรือไร ทำไมเส้นทางที่พวกเขาพยายามจะธำรงอัตลักษณ์จึงเลือนลางเช่นนี้ เป็นคำถามที่ยากจะตอบและคงต้องติดตามผลกันต่อไป แม้ว่าลุงหงิม ชาวเล กลุ่มชาติพันธุ์  และคนชายขอบทั้งหลายจะตั้งคำถามมากมายเพียงใด แต่ดูเหมือนว่าสิ่งเดียวที่จะเป็นคำตอบได้ในขณะนี้ คือ เวลา


 

                ******************************************


 

รุ้งตะวัน อ่วมอินทร์
นักวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)

 



  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง