ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น + ประวัติศาสตร์รัฐ = ประวัติศาสตร์ชาติ
บทความโดย :
โดยทีมงาน | โพสเมื่อวันที่ 03 ก.พ. 2555 11:02 น.
“ความ รู้คืออำนาจ” เป็นคำกล่าวที่แสดงพลานุภาพของความรู้ที่ถูกสร้างจากมุมมองของฝ่ายที่มี อำนาจหรือจะเรียกว่าฝ่ายรัฐจะเป็นฝ่ายที่สามารถนำระบบความรู้ ความคิด และ ให้ระบบความรู้ความคิดนั้นๆ ให้ความรู้นั้นทำหน้าที่เป็นบรรทัดฐานในสังคม และสร้างอำนาจในการปกครองส่วนท้องถิ่น และถ้าเป็นเช่นนั้นประวัติศาสตร์ของชาติที่ผ่านการสั่งสมและเขียนในระบบความ รู้ชุดนี้ จะมาจากประวัติศาสตร์ในมุมมองของส่วนกลางเพียงส่วนเดียวหรือไม่
ถ้าเป็นเช่นนั้น “ท้องถิ่น” มีการสร้างประวัติศาสตร์ในมุมมองของตนเองอย่างไร คุณนเรนทร์ ปัญญาภู นักวิชาการพิพิธภัณฑ์เมืองลำพูน คุณสมศักดิ์ สีบุญเรือง พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน บ้านเกวียนมุก จ. มุกดาหาร และคุณธีระนันท์ ช่วงพิชิต นักวิชาการศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนธนบุรี ร่วมเสวนาในประเด็นดังกล่าว
ความทรงจำ + เรื่องเล่า+ การเลือกที่จะจำ= เลือกเพื่อสร้างอัตลักษณ์ของชุมชน
คุณสมศักดิ์ สีบุญเรือง พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน บ้านเกวียนมุก จ. มุกดาหาร เล่าถึงเมืองมุกดาหารและความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบ้านเกวียนมุกว่า“มุกดาหารเป็นเมืองที่มีกลุ่มชาติพันธุ์รวมกันถึง 8 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ไทย แสก ย้อ ข่า กะโซ่ กะเลิง ญวน ไทยอีสาน สืบเนื่องมาจากเป็นเมืองที่อยู่เขตติดต่อกับแม่น้ำโขง ซึ่งแต่เดิมแถบซ้ายของแม่น้ำโขงเคยเป็นส่วนหนึ่งของสยาม แต่เมื่อถูกแบ่งไปเป็นของฝรั่งเศส เขตแดนที่ถูกแบ่งแยกออกจากไปนั้นก็ไม่ได้ตัดขาดสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและ ภูมิปัญญาที่มีต่อกันในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงนี้ได้ มุกดาหารจึงเป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม แต่อยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขและเสมอภาค”
ส่วนความคิดริเริ่มที่ “เลือก”สร้างพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน บ้านเกวียนมุกที่มุกดาหารนั้น คุณสมศักดิ์กล่าวว่า “การเลือกเกวียน มาทำพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้เกวียนบ้านมุกเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงอัตลักษณ์ชาวมุกดาหาร เนื่องจากเห็นว่าเกวียนไม่ได้เป็นเพียงพาหนะของชาวบ้านเท่านั้น แต่เกวียนสะท้อนประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีคุณค่า เมื่อมองเกวียนจะเห็นชีวิต เห็นวิถีชีวิต เห็นวัฒนธรรม”
คุณ นเรนทร์ เล่าถึงความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูนซึ่งมีที่มาที่ไปที่น่าสนใจ คือเริ่มต้นจากแรงบันดาลใจเรื่องภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองลำพูน คุณนเรนทร์จึงเริ่มสะสมภาพถ่ายเก่าที่เกี่ยวกับจังหวัดลำพูนและจัดนิทรรศการภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองลำพูน โดย ให้คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการเล่าเรื่องจากความทรงจำที่มีต่อเหตุการณ์ สำคัญของลำพูน พบว่า ชาวบ้านเล่าเรื่องจากความทรงจำได้อย่างน่าสนใจ และมีข้อน่าสังเกตว่า คนลำพูนไม่ได้จดจำประวัติศาสตร์ตามปีพุทธศักราชตามระบบของรัฐ แต่คนลำพูนจะจดจำปีผ่านเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น เช่น ปีลมหลวง ปีน้ำนองแดง ปีช้างสองหัว คนลำพูนจะจดจำปีช้างสองหัวว่าเป็นปีที่มีกบฏเงี้ยว แต่ชาวลำพูนเลือกที่จะไม่เรียกว่าปีกบฏเงี้ยว แต่จะเรียกว่าเป็นปีช้างสองหัวแทน เป็นต้น
การ “เลือก”ให้ เหตุการณ์บางอย่างมีความสำคัญกับท้องถิ่นตนเอง “เลือก” จดจำเหตุการณ์บางอย่าง และ“เลือก”ที่จะถ่ายทอดเหตุการณ์สำคัญในฐานะทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น แสดงให้เห็นว่า เลือกที่จะจำและเล่าในสิ่งที่คนท้องถิ่นให้ความสำคัญ ซึ่งเท่ากับว่า เรื่องเล่าเหล่านั้นได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นลำพูน
ประวัติศาสตร์จากท้องถิ่น + ประวัติศาสตร์จากรัฐ = ประวัติศาสตร์ชาติ
คุณ นเรนทร์เล่าว่าจากการทำงานด้านพิพิธภัณฑ์ การรื้อฟื้นคำบอกเล่าผ่านความทรงจำของคนลำพูน มีอย่างหนึ่งที่น่าสนใจมากและทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้วคนลำพูนมีการเลือกจดจำในบางแง่มุมที่มีความสำคัญ และในบางแง่มุมนั้นก็อาจไม่ได้รับความสำคัญจากส่วนกลางหรือภาครัฐ
ตัวอย่างเรื่องวันหยุดรัฐธรรมนูญ รัฐกำหนดให้วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันหยุด แต่ในมุมมองของคนลำพูน คนลำพูนไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันที่ 10 ธันวาคมในฐานะวันสำคัญทางการเมือง ตามมุมมองประวัติศาสตร์ชาติมากนัก แต่คนลำพูนเลือกที่จะให้ความสำคัญกับวันที่ 10ธันวาคมของทุกปีในฐานะวันงานประกวดสาวงามเมืองลำพูน ชาวลำพูนจะมีส่วนในงานประกวดสาวงามลำพูนมากกว่าที่จดจำว่าวันที่ 10ธันวาคมเป็นวันรัฐธรรมนูญ
คุณ นเรนทร์วิเคราะห์ว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะงานประกวดสาวงามลำพูนนั้นเป็นเรื่องใกล้ ตัว เป็นเรื่องที่คนลำพูนได้เข้าไปมีส่วนร่วมจริงๆ กับกิจกรรม และก่อให้เกิดความรู้สึกร่วมของคนลำพูนที่จะดำเนินกิจกรรมนี้ ในขณะที่การรำลึกรัฐธรรมนูญที่ส่งผ่านมาจากภาครัฐนั้น ดูจะเป็นเรื่องไกลตัวของคนลำพูน
ในอดีตลำพูนและเมืองทางเหนือมีวัฒนธรรม ภาษา การค้า ที่อยู่ในลักษณะพึ่งพาตนเอง มีการติดต่อค้าขายภายในภูมิภาค การค้าขายทางเรือนั้นลงมาค้าขายทางทิศใต้แค่นครสวรรค์ ไม่เคยลงมาถึงบางกอก คนลำพูนและเมืองทางเหนือค้าขายกับเมืองมะละแหม่ง ประเทศพม่า มีการส่งลูกหลานไปการศึกษาต่อในมะละแหม่ง เช่น เจ้าน้อยศุขเกษม ดังนั้น คนลำพูนจึงไม่ได้มีจินตภาพถึงบางกอกมากนัก สาว งามในโลกทัศน์ของคนลำพูนก็มีลักษณะแบบมะเมียะ สาวงามแห่งเมืองมะละแหม่ง มากกว่าจะเป็นภาพสาวงามเมืองบางกอก ทั้งนี้เพราะบางกอกห่างไกลทั้งด้านภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี เชื้อชาติ จากเมืองลำพูน แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า เมืองลำพูนจะล้าหลังหรือถูกโดดเดี่ยว คนลำพูนยังสามารถทำมาหากิน ค้าขาย และดำเนินชีวิตตามวิถีของตนเองได้อย่างเข้มแข็ง ความศิวิไลซ์ที่มีในบางกอกยุคสยามใหม่ เช่น รถยนต์ ก็พบในลำพูนเช่นกัน
จากตัวอย่างนี้คุณนเรนทร์เห็นว่า คน ลำพูนได้สร้างประวัติศาสตร์ของตนเองขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง ควบคู่กับประวัติศาสตร์จากรัฐ ซึ่งในที่นี้มิได้หมายความว่าคนลำพูนละเลยความสำคัญของประวัติศาสตร์รัฐ แต่คนลำพูนเลือกที่จะจดจำและให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของตนเอง มากกว่าประวัติศาสตร์รัฐ
ในส่วนของชุมชนธนบุรี คุณธีระนันท์อธิบายว่า เมื่อ เริ่มตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรีก็มีฐานะเป็นท้องถิ่นของฝั่งพระนครไปโดยปริยาย กลายเป็นพื้นที่เรือกสวน ไร่นา และดูเหมือนว่าพื้นที่เมืองจะไม่ก้าวข้ามมาฝั่งธนบุรี ดังคำที่ว่า “หมาฝั่งธน ไม่กลัวรถ“ เพราะไม่มีรถ ไม่มีความเจริญเข้ามาในฝั่งธน แต่คุณธีระนันท์เห็นว่าแท้จริงแล้วท้องถิ่นชุมชนธนบุรีไม่ได้ถูกตัดขาด หรือถูกโดดเดี่ยวจากภาครัฐ เห็นได้จากในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรง สร้างพระปรางค์สำคัญไว้ในแถบฝั่งธนบุรี นั้นคือ พระปรางค์วัดอรุณราชวรราม ซึ่งก็อาจแสดงได้ว่าแท้จริงแล้ว ประวัติศาสตร์ชาติ และประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไม่ได้แยกจากกันอย่างชัดเจน หากแต่มีส่วนเสริม มีส่วนที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เพียงแต่อาจจะมีการให้ความสำคัญ มีมุมมองที่แตกต่างกัน แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของเหตุการณ์เดียวกัน
ดังนั้น เหตุการณ์สำคัญ ประวัติศาสตร์ ความทรงจำ เรื่องเล่า การเลือกที่จะจำชาวบ้าน ภาครัฐ มุมมอง โลกทัศน์ ยุคสมัย ฯลฯ ล้วนมีส่วนในการประกอบสร้างประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์จากมุมมองของท้องถิ่น ประวัติศาสตร์จากมุมมองของรัฐต่างมีส่วนในการสร้างประวัติศาสตร์ชาติ แม้จะมีมุมมองและการเลือกให้ความสำคัญในมุมมองที่แตกต่างกัน แต่นั้นก็มิได้หมายความว่า “ท้องถิ่นและรัฐ” จะเป็นเอกเทศจากกัน แต่ต่างดำเนินอยู่บนประวัติศาสตร์เดียวกัน
*********************************
รุ้งตะวัน อ่วมอินทร์
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรนธร(องค์การมหาชน)
|