ดูคนไตทำตานผ่านปอยส่างลอง
บทความโดย :
โดยทีมงาน | โพสเมื่อวันที่ 01 มิ.ย 2555 10:04 น.
“กินยายัง” เสียงพี่ชูโชเฟอร์มือฉมังบอกเตือนชาวคณะทั้ง 5 คนให้กินยาแก้เมารถ ฉันคนหนึ่งที่ไม่คิดลองดี ด้วยการไม่กินยา ตลอดเส้นทางจาก อ. เถิน สู่ จ.แม่ฮ่องสอนกว่า 350 กิโลเมตร จะคดเคี้ยวหมุนวนเย้ยภูผาสูงนับพันโค้ง ทิวไม้ผลิใบอ่อนสีเขียว ตัดกับฟ้าครามสดใส การเดินทางครั้งนี้ จึงน่าตื่นเต้นยิ่งนัก ทั้งคำขู่ คำปรามาส ว่า “เมาแน่ๆ” เม็ดยา Dimenhydrinate สีเหลืองถูกกลอกลงคออย่างรีบร้อนเพื่อให้ยาออกฤทธ์ทันก่อนที่จะเข้าสู่ดิน แดนแห่งหุบเขาแม่ฮ่องสอน

แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีความน่าสนใจในหลากหลายด้าน ทั้งเป็นจังหวัดที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่ม ทั้งไต ม้ง ลีซู ละหู่ ลัวะ เป็นต้น ด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน เส้นทางที่จะเข้าสู่แม่ฮ่องสอนจึงไม่ง่ายนัก โชเฟอร์ต้องมั่นใจทั้งพลังใจและพลังของเครื่องยนต์ และด้วยความเสน่ห์แห่งความซับซ้อนนี่เองที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวที่มีความ มุ่งมั่นเดินทางมาสู่แม่ฮ่องสอน
คณะของเราเดินทางมาด้วยใจหวังที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานปอยส่างลองที่ แม่ฮ่องสอน ด้วยได้ยินคำร่ำลือว่า คนไตมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากล้นจนมีคำกล่าวว่า “อย่ากินอย่าม่าน อย่าตานอย่างไต” ที่หมายถึง อย่ากินอย่างพม่า อย่าทำบุญแบบคนไต ที่บ่งบอกถึงความศรัทธาทำบุญบำรุงพระศาสนาของคนไตอย่างแรงกล้า
ความศรัทธาในการสืบทอดพระพุทธศาสนาของคนไตสะท้อนผ่านสถาปัตยกรรมของวัดอันงด งาม ความวิจิตรของพระพุทธรูป และที่สำคัญคือ การบรรพชาสามเณรในช่วงฤดูร้อน หรือที่เรียกว่า ปอยส่างลอง

พระพุทธรูป วัดพระนอน
ปอยส่างลอง เป็นพิธีการเฉลิมฉลองของการบรรพชาสามเณรในพุทธศาสนาของคนไทยซึ่งมีเชื้อสาย เป็นคนไต ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และในบางอำเภอของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งปกติจะมีการจัดงานอยู่ประมาณสามวัน งานปอยส่างลองจะทยอยจัดตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงปิด เทอมภาคฤดูร้อน ในปีนี้อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนจัดงานวันที่ 4-6 เมษายน โดยมีวัดกลางทุ่งเป็นเจ้าภาพ

จากตำนานที่คนไตเล่าสืบทอดกันมาถึงที่มาของประเพณีปอยส่างลอง คือ การบรรพชาเป็นสามเณรนั้นก็เพื่อศึกษาพุทธธรรมและเพื่อเป็นการทดแทนคุณบิดา มารดา โดยอิงมาจากพุทธประวัติ ตอนที่พระนางยโสธราแต่งองค์ให้พระราหุลเพื่อทูลขอราชบัลลังก์จากพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าพระราชทานอริยทรัพย์ คือ ให้พระราหุลบรรพชาสู่กาสาวพัสตร์ และนับเป็นสามเณรองค์แรกของพระพุทธศาสนา อีกตำนานหนึ่งคือ อิงพุทธประวัติตอนที่เจ้าชาย สิทธัตถะผู้เจริญด้วยโภคทรัพย์แต่ทรงสละทรัพย์สมบัติเพื่อแสวงหาหนทาง แห่งบรมสุข จากทั้งสองตำนานนี้เองที่เป็นขนบให้คนไตยึดถือให้เครื่องทรงของส่างลองมี ความวิจิตรงดงาม
อ. วัฒนา กวีวัฒน์ ข้าราชการบำนาญ โรงเรียนบ้านจองคำได้เล่าให้เราฟังถึงที่มาประวัติและความสำคัญข องงานปอยส่างลองว่า
“ส่าง” หมายถึง เณร ลอง หรือ “อลอง” หมายถึง รัชทายาท ซึ่งมีตำนานที่กล่าวถึงที่มาของการปอยส่างลองว่ามาจากพุทธประวัติตอนที่เจ้า ชายสิทธัตถะผู้เจริญด้วยโภคทรัพย์มากมาย แต่ก็สละซึ่งโภคทรัพย์เพื่อแสวงหามรรคผลแห่งการดับทุกข์ ประเพณีปอยส่างลองถือเป็นประเพณีสำคัญของคนไต ในครอบครัวที่มีลูกชายจะตั้งตารอคอยเพื่อร่วมประเพณีนี้ ด้วยความเชื่อที่ว่าอานิสงค์จากการบวชปอยส่างลองนี้จะทำให้บิดามารดาได้ขึ้น สวรรค์ ดังนั้นการบวชปอยส่างลองจึงถือเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่และมีอานิสงค์มาก อย่างไรก็ตาม อ. วัฒนาเห็นว่าอาจเป็นกุศโลบายหนึ่งที่ให้ลูกหลานได้บวชเรียนดื่มด่ำหลักธรรม ในพระพุทธศาสนาในช่วงปิดภาคเรียน


น้องต้นตาล หรือ ด.ช.จิรภัทร ไชยศร วัย 9 ขวบ หนึ่งใน 50 ส่างลองที่เข้าบวชในปีนี้ เล่าถึงความตั้งใจของตนเองในการบวชส่างลองนี้อย่างภาคภูมิใจว่า “การบวชส่างลองเป็นการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ศึกษาหลักพระพุทธศาสนา และต้องการสืบสานประเพณีของคนไตต่อไป”
พิธีการในช่วงบ่ายของวันที่ 3 เมษายน เด็กชายผู้จำนงบวชส่างลองกว่า 50 คน นั่งพับเพียบเรียบร้อยเพื่อเตรียมการปลงผม โดยมีพ่อแม่ และญาติๆ ถือขันน้ำผสมส้มป่อย และแป้ง เมื่อพระสงฆ์ปลงผมให้แล้วก็ถึงคราที่พ่อแม่และญาติจะให้พรและร่วมปลงผมให้ เด็กชาย บ้างหน้าตาบูดเบี้ยวเพราะเกรงต่อคมมีดโกน บ้างนั่งนิ่งเพราะไม่อยากให้คมมีดบาดศีรษะ แสงแดดยามบ่ายเหนือวัดกลางทุ่งสาดสะท้อนเจิดจ้า เช่นเดียวกับแววตาของพ่อแม่ของเด็กชายที่เฝ้าดูพิธีการปลงผมอันเป็นพิธีการ แรกของการปอยส่างลองของลูกชาย เมื่อปลงผมแล้ว ล้างด้วยน้ำส้มป่อย ทาแป้งบนศีรษะแก้ความแสบจากคมมีดปลง



วันรุ่งขึ้นซึ่งถือเป็นวันแรกของงานปอยส่างลอง เด็กชายจะตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อแต่งเครื่องทรงให้สมกับการเป็นส่างลอง นุ่งโจงกระเบนสีสด ปล่อยชายด้านหลังยาวจับจีบ คาดด้วยเข็มขัดนาคหรือเงิน สวมเสื้อแขนกระบอกชายโค้งงอน เสื้อปักฉลุลวดลายดอกไม้สีต่างๆ ที่งดงามพิเศษอีกอย่างคือ ผ้าแพรโพกเกล้าเสียบแซมด้วยดอกไม้พลาสติกหลากสี เขียนคิ้วคมเข้ม ทาแป้งนวล แต่งหน้าสีจัดจ้าน ถุงเท้าสีขาว ถือเป็นการแต่งตัวส่างลองเต็มตัว
เมื่อส่างลองแต่งกายพร้อมกันทุกองค์แล้ว พระสงฆ์จะให้ศีลให้พรและอบรมสั่งสอน ส่างลองขอขมาพระสงฆ์ จากนั้นจะเริ่มต้นตั้งขบวนแห่ส่างลองไปรอบเมืองเพื่อเป็นการบอกกล่าวนมัสการ สิ่งศักดิ์สิทธิ์

เสียงม้องเซิ้ง(ฆ้องชุดของไต) ฉาบและกลองที่ตีกระทบสร้างความครึกครื้นของงานบุญควบคู่กับภาพตะแปเทินส่า งลองที่แต่งองค์งดงามทยอยเดินเป็นขบวนทั้งเดินและโยกเต้นเทินส่างลองเหนือ บ่าประกอบจังหวะเสียง กลองม้องเซิ้งที่ตีให้จังหวะยิ่งปลุกให้บรรยากาศงานบุญปอยส่างลองของวัดกลาง ทุ่งครึกครื้นสนุกสนาน ขบวนตะแปนำส่างลองไปนมัสการสถานที่ศักสิทธิ์ เช่น ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ศาลเจ้าเมือง เจ้าอาวาส และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ และบุคคลสำคัญๆในชุมชน เพื่อไปทำแสดงความเคารพนับถือ และรับศีลรับพร
อ. วัฒนาเล่าว่า การพาส่างลองไปขอขมานั้นเป็นเสมือนการขออภัยหากได้ทำการล่วงเกินจะโดยเจตนา ก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี ส่วนผู้ที่ถูกขอขมาก็จะให้อภัย ไม่ติดใจ ขุ่นเคือง สิ่งนี้น่าจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไตไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันรุนแรง มากนัก เพราะมีความคิดเรื่องการให้อภัยซึ่งกันและกันอยู่

วันที่สอง เรียกว่า วันแห่ครัวหลู่ หรือวันแห่เครื่องปัจจัยไทยทานถวายพระสงฆ์ ขบวนแห่วันนี้มีความยิ่งใหญ่อลังการ มีการแห่ส่างลองกับขบวนเครื่องไทยทานจากวัดหัวเวียงไปตามถนนสายต่าง ๆ ขบวนแห่ประกอบด้วย จีเจ่ (กังสดาล) ม้าเจ้าเมือง ต้นตะเป่ส่าพระพุทธ ต้นตะเป่ส่าพระสงฆ์ ปุ๊กเข้าแตก เทียนเงินเทียนทอง พุ่มเงินพุ่มทอง อูต่องปานต่อง หม้อน้ำต่า อัฎฐบริขาร ขบวนส่างลอง โดยให้ส่างลองขี่คอพี่เลี้ยง หรือ “ตะแปส่างลอง” มีร่มทองหรือ “ทีคำ” บังแดด
แม้เมืองแม่ฮ่องสอนจะเป็นเมืองเล็ก ประชากรไม่มากแต่เมื่อมีงานบุญปอยส่างลอง ก็ดูเหมือนว่าคนไตนับพันจะมาร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียง สาวไตหลากหลายรุ่นแต่งตนงดงามตามแบบไต เสื้อแขนกระบอก กระโปรงทรงสอบยาวถึงข้อเท้า เกล้าผมมวยทัดดอกไม้ สวมเครื่องประดับอัญมณีมีค่าทั้งสร้อย แหวน และข้อมือ ส่วนหนุ่มไตก็สวมชุดผ้าฝ้ายอย่างไตที่ยิ่งทำให้ดูสุขุมนิ่มนวลนัก



ต้นขบวนเดินทางจากวัดกลางทุ่งเพื่อไปยังวัดต่างๆ เช่น วัดจองคำ วัดม่วยต่อ วัดหัวเวียง ตลอดเส้นทาง ร่ายล้อมด้วยคนไตและนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศที่มาร่วมชื่นชม บ้างโปรยข้าวตอกให้แก่ขบวนส่างลองด้วยเชื่อว่าจะนำความสิริมงคลมาให้ ขบวนแห่ไปรอบเมืองแม่ฮ่องสอน ร่มทีคำสีทองที่ตะแปกางปังแสงอาทิตย์ให้ส่างลอง และเสื้อผ้าหลากสีสันของส่างลองตัดกับผืนฟ้าสีครามสดใส เสียงม้องเซิ้ง กลอง และฉาบยิ่งขับให้ริ้วขบวนปอยส่างลองยิ่งครึกครื้น งดงาม สะท้อนแรงศรัทธาของคนไตที่มีต่อพระพุทธศาสนาอบอวลไปทั่วเมือง
ในช่วงเย็น มีพิธีทำขวัญและการสวดคำขวัญที่วัดกลางทุ่ง สาระของการทำขวัญคือสั่งสอนส่างลองให้เห็นถึงพระคุณของบิดามารดาผู้ให้ กำเนิด ตลอดจนเตรียมตัวให้ส่างลองซึ่งจะเข้ารับการบรรพชาในวันรุ่งขึ้น เมื่อทำขวัญเรียบร้อยแล้ว ส่างลองจะกลับไปบ้านของตนเองโดยในช่วงเย็นจะมีการข่ามแขก หรือรับแขก บรรดาญาติมิตรของส่างลองจะมาร่วมอำนวยพรให้ส่างลองซึ่งถือเป็นอีกช่วงเวลา หนึ่งที่บรรดาญาติมิตรของบ้านเจ้าภาพส่างลองจะได้พบปะสังสรรค์กัน

วันที่สาม หรือวันหลู่ ถือเป็นวันสำคัญคือเป็นวันบรรพชาสามเณรและถวายเครื่องปัจจัยไทยทานแก่พระ ภิกษุสงฆ์ ส่างลองทั้งหมดจะเข้าพิธีเพื่อขออนุญาตทำการบรรพชาจากพระผู้ใหญ่ อาราธนาศีล แล้วจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดส่างลองที่งดงามมาเป็นผ้าไตร เพื่อเป็นสามเณรอย่างสมบูรณ์ โดยส่างลองแต่ละคนอาจบวชประมาณ 15 วัน หรือ1 เดือน

เรื่องราวของประเพณีปอยส่างลองที่แม่ฮ่องสอนจะปรากฏซ้ำอย่างนี้ทุกปี ความงดงาม บรรยากาศของความสนุกสนานที่มีเป้าประสงค์เพื่อสืบทอดบำรุงพระศาสนาที่คนไต ยึดถือมาตลอดจะฝังลึกในจิตใจจากรุ่นปู่ย่าสู่ลูกหลานไต ทริปนี้ของฉันแม้จะไม่เมารถ เมาโค้งเพราะฤทธิ์ยา Dimenhydrinate ก็จริงอยู่ แต่ยอมรับว่าหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของแม่ฮ่องสอนเมืองเล็กแต่สุขสงบอย่างจับใจ
**************************************************
รุ้งตะวัน อ่วมอินทร์
นักวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)
|