สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  บทความชาติพันธุ์

ดูคนไตทำตานผ่านปอยส่างลอง
บทความโดย : โดยทีมงาน | โพสเมื่อวันที่ 01 มิ.ย 2555 10:04 น.
 




            “กินยายัง” เสียงพี่ชูโชเฟอร์มือฉมังบอกเตือนชาวคณะทั้ง 5 คนให้กินยาแก้เมารถ ฉันคนหนึ่งที่ไม่คิดลองดี ด้วยการไม่กินยา   ตลอดเส้นทางจาก อ. เถิน สู่ จ.แม่ฮ่องสอนกว่า 350 กิโลเมตร จะคดเคี้ยวหมุนวนเย้ยภูผาสูงนับพันโค้ง ทิวไม้ผลิใบอ่อนสีเขียว ตัดกับฟ้าครามสดใส การเดินทางครั้งนี้ จึงน่าตื่นเต้นยิ่งนัก  ทั้งคำขู่ คำปรามาส ว่า   “เมาแน่ๆ” เม็ดยา  Dimenhydrinate  สีเหลืองถูกกลอกลงคออย่างรีบร้อนเพื่อให้ยาออกฤทธ์ทันก่อนที่จะเข้าสู่ดิน แดนแห่งหุบเขาแม่ฮ่องสอน

 



 

             แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีความน่าสนใจในหลากหลายด้าน ทั้งเป็นจังหวัดที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่ม ทั้งไต ม้ง ลีซู  ละหู่  ลัวะ  เป็นต้น  ด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน  เส้นทางที่จะเข้าสู่แม่ฮ่องสอนจึงไม่ง่ายนัก โชเฟอร์ต้องมั่นใจทั้งพลังใจและพลังของเครื่องยนต์ และด้วยความเสน่ห์แห่งความซับซ้อนนี่เองที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวที่มีความ มุ่งมั่นเดินทางมาสู่แม่ฮ่องสอน
 

            คณะของเราเดินทางมาด้วยใจหวังที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานปอยส่างลองที่ แม่ฮ่องสอน ด้วยได้ยินคำร่ำลือว่า คนไตมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากล้นจนมีคำกล่าวว่า “อย่ากินอย่าม่าน อย่าตานอย่างไต” ที่หมายถึง อย่ากินอย่างพม่า อย่าทำบุญแบบคนไต  ที่บ่งบอกถึงความศรัทธาทำบุญบำรุงพระศาสนาของคนไตอย่างแรงกล้า
 

            ความศรัทธาในการสืบทอดพระพุทธศาสนาของคนไตสะท้อนผ่านสถาปัตยกรรมของวัดอันงด งาม ความวิจิตรของพระพุทธรูป  และที่สำคัญคือ การบรรพชาสามเณรในช่วงฤดูร้อน หรือที่เรียกว่า ปอยส่างลอง

 

  
พระพุทธรูป วัดพระนอน 


 

             ปอยส่างลอง เป็นพิธีการเฉลิมฉลองของการบรรพชาสามเณรในพุทธศาสนาของคนไทยซึ่งมีเชื้อสาย เป็นคนไต ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และในบางอำเภอของจังหวัดเชียงใหม่  ซึ่งปกติจะมีการจัดงานอยู่ประมาณสามวัน งานปอยส่างลองจะทยอยจัดตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงปิด เทอมภาคฤดูร้อน ในปีนี้อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนจัดงานวันที่ 4-6 เมษายน โดยมีวัดกลางทุ่งเป็นเจ้าภาพ


 




 

            จากตำนานที่คนไตเล่าสืบทอดกันมาถึงที่มาของประเพณีปอยส่างลอง คือ การบรรพชาเป็นสามเณรนั้นก็เพื่อศึกษาพุทธธรรมและเพื่อเป็นการทดแทนคุณบิดา มารดา โดยอิงมาจากพุทธประวัติ ตอนที่พระนางยโสธราแต่งองค์ให้พระราหุลเพื่อทูลขอราชบัลลังก์จากพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าพระราชทานอริยทรัพย์ คือ ให้พระราหุลบรรพชาสู่กาสาวพัสตร์ และนับเป็นสามเณรองค์แรกของพระพุทธศาสนา อีกตำนานหนึ่งคือ อิงพุทธประวัติตอนที่เจ้าชาย    สิทธัตถะผู้เจริญด้วยโภคทรัพย์แต่ทรงสละทรัพย์สมบัติเพื่อแสวงหาหนทาง แห่งบรมสุข จากทั้งสองตำนานนี้เองที่เป็นขนบให้คนไตยึดถือให้เครื่องทรงของส่างลองมี ความวิจิตรงดงาม

 

            อ. วัฒนา  กวีวัฒน์ ข้าราชการบำนาญ โรงเรียนบ้านจองคำได้เล่าให้เราฟังถึงที่มาประวัติและความสำคัญของงานปอยส่างลองว่า

 

            “ส่าง” หมายถึง เณร   ลอง หรือ “อลอง” หมายถึง รัชทายาท ซึ่งมีตำนานที่กล่าวถึงที่มาของการปอยส่างลองว่ามาจากพุทธประวัติตอนที่เจ้า ชายสิทธัตถะผู้เจริญด้วยโภคทรัพย์มากมาย แต่ก็สละซึ่งโภคทรัพย์เพื่อแสวงหามรรคผลแห่งการดับทุกข์  ประเพณีปอยส่างลองถือเป็นประเพณีสำคัญของคนไต ในครอบครัวที่มีลูกชายจะตั้งตารอคอยเพื่อร่วมประเพณีนี้ ด้วยความเชื่อที่ว่าอานิสงค์จากการบวชปอยส่างลองนี้จะทำให้บิดามารดาได้ขึ้น สวรรค์ ดังนั้นการบวชปอยส่างลองจึงถือเป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่และมีอานิสงค์มาก อย่างไรก็ตาม อ. วัฒนาเห็นว่าอาจเป็นกุศโลบายหนึ่งที่ให้ลูกหลานได้บวชเรียนดื่มด่ำหลักธรรม ในพระพุทธศาสนาในช่วงปิดภาคเรียน

 


 

            น้องต้นตาล หรือ ด.ช.จิรภัทร ไชยศร วัย 9 ขวบ  หนึ่งใน 50 ส่างลองที่เข้าบวชในปีนี้ เล่าถึงความตั้งใจของตนเองในการบวชส่างลองนี้อย่างภาคภูมิใจว่า “การบวชส่างลองเป็นการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ศึกษาหลักพระพุทธศาสนา และต้องการสืบสานประเพณีของคนไตต่อไป”

 

            พิธีการในช่วงบ่ายของวันที่ 3 เมษายน  เด็กชายผู้จำนงบวชส่างลองกว่า  50 คน นั่งพับเพียบเรียบร้อยเพื่อเตรียมการปลงผม โดยมีพ่อแม่ และญาติๆ ถือขันน้ำผสมส้มป่อย และแป้ง  เมื่อพระสงฆ์ปลงผมให้แล้วก็ถึงคราที่พ่อแม่และญาติจะให้พรและร่วมปลงผมให้ เด็กชาย บ้างหน้าตาบูดเบี้ยวเพราะเกรงต่อคมมีดโกน บ้างนั่งนิ่งเพราะไม่อยากให้คมมีดบาดศีรษะ แสงแดดยามบ่ายเหนือวัดกลางทุ่งสาดสะท้อนเจิดจ้า เช่นเดียวกับแววตาของพ่อแม่ของเด็กชายที่เฝ้าดูพิธีการปลงผมอันเป็นพิธีการ แรกของการปอยส่างลองของลูกชาย เมื่อปลงผมแล้ว ล้างด้วยน้ำส้มป่อย ทาแป้งบนศีรษะแก้ความแสบจากคมมีดปลง

 

 




 

            วันรุ่งขึ้นซึ่งถือเป็นวันแรกของงานปอยส่างลอง เด็กชายจะตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อแต่งเครื่องทรงให้สมกับการเป็นส่างลอง นุ่งโจงกระเบนสีสด ปล่อยชายด้านหลังยาวจับจีบ คาดด้วยเข็มขัดนาคหรือเงิน สวมเสื้อแขนกระบอกชายโค้งงอน เสื้อปักฉลุลวดลายดอกไม้สีต่างๆ ที่งดงามพิเศษอีกอย่างคือ ผ้าแพรโพกเกล้าเสียบแซมด้วยดอกไม้พลาสติกหลากสี  เขียนคิ้วคมเข้ม ทาแป้งนวล แต่งหน้าสีจัดจ้าน ถุงเท้าสีขาว ถือเป็นการแต่งตัวส่างลองเต็มตัว

 

            เมื่อส่างลองแต่งกายพร้อมกันทุกองค์แล้ว พระสงฆ์จะให้ศีลให้พรและอบรมสั่งสอน ส่างลองขอขมาพระสงฆ์  จากนั้นจะเริ่มต้นตั้งขบวนแห่ส่างลองไปรอบเมืองเพื่อเป็นการบอกกล่าวนมัสการ สิ่งศักดิ์สิทธิ์


 



 

            เสียงม้องเซิ้ง(ฆ้องชุดของไต) ฉาบและกลองที่ตีกระทบสร้างความครึกครื้นของงานบุญควบคู่กับภาพตะแปเทินส่า งลองที่แต่งองค์งดงามทยอยเดินเป็นขบวนทั้งเดินและโยกเต้นเทินส่างลองเหนือ บ่าประกอบจังหวะเสียง กลองม้องเซิ้งที่ตีให้จังหวะยิ่งปลุกให้บรรยากาศงานบุญปอยส่างลองของวัดกลาง ทุ่งครึกครื้นสนุกสนาน  ขบวนตะแปนำส่างลองไปนมัสการสถานที่ศักสิทธิ์ เช่น ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ศาลเจ้าเมือง เจ้าอาวาส และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ และบุคคลสำคัญๆในชุมชน เพื่อไปทำแสดงความเคารพนับถือ และรับศีลรับพร

 

         อ. วัฒนาเล่าว่า การพาส่างลองไปขอขมานั้นเป็นเสมือนการขออภัยหากได้ทำการล่วงเกินจะโดยเจตนา ก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี ส่วนผู้ที่ถูกขอขมาก็จะให้อภัย ไม่ติดใจ ขุ่นเคือง สิ่งนี้น่าจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไตไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันรุนแรง มากนัก เพราะมีความคิดเรื่องการให้อภัยซึ่งกันและกันอยู่

 

 

 

            วันที่สอง เรียกว่า วันแห่ครัวหลู่ หรือวันแห่เครื่องปัจจัยไทยทานถวายพระสงฆ์ ขบวนแห่วันนี้มีความยิ่งใหญ่อลังการ มีการแห่ส่างลองกับขบวนเครื่องไทยทานจากวัดหัวเวียงไปตามถนนสายต่าง ๆ ขบวนแห่ประกอบด้วย จีเจ่ (กังสดาล) ม้าเจ้าเมือง ต้นตะเป่ส่าพระพุทธ ต้นตะเป่ส่าพระสงฆ์ ปุ๊กเข้าแตก เทียนเงินเทียนทอง พุ่มเงินพุ่มทอง อูต่องปานต่อง หม้อน้ำต่า อัฎฐบริขาร  ขบวนส่างลอง โดยให้ส่างลองขี่คอพี่เลี้ยง หรือ “ตะแปส่างลอง” มีร่มทองหรือ “ทีคำ” บังแดด


 

             แม้เมืองแม่ฮ่องสอนจะเป็นเมืองเล็ก ประชากรไม่มากแต่เมื่อมีงานบุญปอยส่างลอง ก็ดูเหมือนว่าคนไตนับพันจะมาร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียง  สาวไตหลากหลายรุ่นแต่งตนงดงามตามแบบไต  เสื้อแขนกระบอก กระโปรงทรงสอบยาวถึงข้อเท้า เกล้าผมมวยทัดดอกไม้ สวมเครื่องประดับอัญมณีมีค่าทั้งสร้อย แหวน และข้อมือ  ส่วนหนุ่มไตก็สวมชุดผ้าฝ้ายอย่างไตที่ยิ่งทำให้ดูสุขุมนิ่มนวลนัก 


 











 

            ต้นขบวนเดินทางจากวัดกลางทุ่งเพื่อไปยังวัดต่างๆ เช่น วัดจองคำ  วัดม่วยต่อ วัดหัวเวียง  ตลอดเส้นทาง ร่ายล้อมด้วยคนไตและนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศที่มาร่วมชื่นชม  บ้างโปรยข้าวตอกให้แก่ขบวนส่างลองด้วยเชื่อว่าจะนำความสิริมงคลมาให้   ขบวนแห่ไปรอบเมืองแม่ฮ่องสอน ร่มทีคำสีทองที่ตะแปกางปังแสงอาทิตย์ให้ส่างลอง และเสื้อผ้าหลากสีสันของส่างลองตัดกับผืนฟ้าสีครามสดใส  เสียงม้องเซิ้ง กลอง และฉาบยิ่งขับให้ริ้วขบวนปอยส่างลองยิ่งครึกครื้น งดงาม  สะท้อนแรงศรัทธาของคนไตที่มีต่อพระพุทธศาสนาอบอวลไปทั่วเมือง

 

            ในช่วงเย็น มีพิธีทำขวัญและการสวดคำขวัญที่วัดกลางทุ่ง  สาระของการทำขวัญคือสั่งสอนส่างลองให้เห็นถึงพระคุณของบิดามารดาผู้ให้ กำเนิด ตลอดจนเตรียมตัวให้ส่างลองซึ่งจะเข้ารับการบรรพชาในวันรุ่งขึ้น  เมื่อทำขวัญเรียบร้อยแล้ว ส่างลองจะกลับไปบ้านของตนเองโดยในช่วงเย็นจะมีการข่ามแขก หรือรับแขก บรรดาญาติมิตรของส่างลองจะมาร่วมอำนวยพรให้ส่างลองซึ่งถือเป็นอีกช่วงเวลา หนึ่งที่บรรดาญาติมิตรของบ้านเจ้าภาพส่างลองจะได้พบปะสังสรรค์กัน

 

   

           

วันที่สาม หรือวันหลู่ ถือเป็นวันสำคัญคือเป็นวันบรรพชาสามเณรและถวายเครื่องปัจจัยไทยทานแก่พระ ภิกษุสงฆ์ ส่างลองทั้งหมดจะเข้าพิธีเพื่อขออนุญาตทำการบรรพชาจากพระผู้ใหญ่  อาราธนาศีล แล้วจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดส่างลองที่งดงามมาเป็นผ้าไตร เพื่อเป็นสามเณรอย่างสมบูรณ์ โดยส่างลองแต่ละคนอาจบวชประมาณ 15 วัน หรือ1 เดือน



 

 

           

              เรื่องราวของประเพณีปอยส่างลองที่แม่ฮ่องสอนจะปรากฏซ้ำอย่างนี้ทุกปี ความงดงาม บรรยากาศของความสนุกสนานที่มีเป้าประสงค์เพื่อสืบทอดบำรุงพระศาสนาที่คนไต ยึดถือมาตลอดจะฝังลึกในจิตใจจากรุ่นปู่ย่าสู่ลูกหลานไต ทริปนี้ของฉันแม้จะไม่เมารถ เมาโค้งเพราะฤทธิ์ยา Dimenhydrinate ก็จริงอยู่  แต่ยอมรับว่าหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของแม่ฮ่องสอนเมืองเล็กแต่สุขสงบอย่างจับใจ

 

**************************************************

รุ้งตะวัน อ่วมอินทร์
นักวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)



  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง