ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ (2)
บทความโดย :
โดยทีมงาน | โพสเมื่อวันที่ 20 มี.ค 2555 14:17 น.
ตะวันรุ่งที่ไล่โว่(2)
คณะอนุกรรมการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อเสนอให้ไร่หมุนเวียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อันเป็นหนึ่งในคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการฟื้นฟูวิถีชีวิตกะเหรี่ยง โดยมีศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรเป็นกรรมการและเลขานุการนั้น ได้ร่างมาตราการฟื้นฟูระยะยาว ที่ว่าด้วยการส่งเสริมและยอมรับระบบไร่หมุนเวียน รวมทั้งผลักดันให้ระบบไร่หมุนเวียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม หนึ่งในพื้นที่นำร่องศึกษาและสำรวจ คือ ต. ไล่โว่ อ. สังขละบุรี จ. กาญจนบุรี

โรงทานที่จัดทำเฉพาะกิจในงานประเพณีบุญข้าวใหม่
เมื่อคณะของเราเดินทางมาถึงไล่โว่ คำทักทายแรกจากพี่น้องชาวโผล่ว คือ “ออหมี่ ออหมี่” ซึ่งหมายถึง การเชื้อเชิญให้ร่วมทานข้าว กับข้าววันนี้มีน้ำพริกกะเหรี่ยงใส่มะเขือเทศรสเผ็ดจัดจ้านกินแกล้มกับมะเดื่อดองรสเฝื่อน อีกชามเป็นแกงฟักเขียวใส่วุ้นเส้น และแกงหน่อไม้ใส่เนื้อหมู เด็กหนุ่มสาวจากหมู่บ้านอื่นที่มาร่วมงานประเพณีบุญข้าวใหม่ ดูเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีภาพของเด็กเมือง มีโทรศัพท์มือถือ ทรงผมซอยสไลด์ปลายของเด็กสาว กางเกงยีนส์ร้องเท้าผ้าใบของเด็กหนุ่ม แต่เมื่อร่วมพิธีกรรม ทุกคนจะใส่ชุดตามธรรมเนียม คือ ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ผู้ชาย นุ่งโสร่ง ส่วนเสื้อตัวบนจะเป็นเสื้อธรรมดาทั่วไปมีบ้างที่สวมเสื้อแบบกะเหรี่ยง สำหรับเด็กหญิงวัยแรกรุ่นที่เข้าร่วมในพิธีกรรมจะใส่ชุดยาวสีขาวของหญิงสาว ที่ยังไม่ได้แต่งงาน
บุญข้าวใหม่ : งานบุญบูชาแม่พระโพสพ
งานประเพณีบุญข้าวใหม่ว่างานบุญข้าวใหม่นี้เป็นหัวใจของพี่น้องคนโผล่ว เพื่อแสดงความขอบคุณต่อพระแม่โพสพและเทวดาต่างๆ ที่ช่วยปกปักและบันดาลให้การทำไร่ได้ผลผลิตจากการทำไร่ในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นโอกาสให้พี่น้องโผล่วทั้งตำบลได้มาทำบุญและพบปะกัน พร้อมกันนี้ยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สัมผัสบรรยากาศประเพณีงานบุญกินข้าวใหม่ที่คนโผล่วจัดเป็นประจำในวันขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 2 ของทุกปี
ประเพณี กินข้าวใหม่จัดงาน 3 วัน 3 คืน งานพิธีเริ่มตั้งแต่คืนวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 2 คนโผล่วจะมารวมกันเพื่อบริเวณลานพิธีเพื่อประกอบพิธีเรียกขวัญ พระแม่โพสพ โดยพระสงฆ์จะสวดพุทธมนต์ บริเวณลานพิธีนี้ถือเป็นสถานที่เชื่อมต่อระหว่างสิ่งศักดิ์กับชาวคนโผล่ว ในช่วงก่อนเริ่มพิธีงานบุญข้าวใหม่

ชาวโผล่วร่วมประกอบพิธีในคืน 13 ค่ำ เดือน 2
เช้าวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 2หมอพิธีจะเริ่มพิธีเรียกขวัญแม่โพสพ มีความหมายโดยรวมว่า ขอ เชิญขวัญพระแม่โพสพที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดขอให้กลับมารับของเซ่นไหว้โดยมีหมอ พิธี หรือพู่ไต่พู่ไคล่ เป็นผู้ทำพิธีเรียกขวัญและรับขวัญโดยมีของเซ่นไหว้ซึ่งเป็นอาหารหวานคาว เตรียมไว้ในกระจาด เช่น สายสิญจน์ ข้าวเจ้า ข้าวเหนียวที่ห่อเป็นแหลม(หมี่ท่ง)ถั่ว งา เผือก มัน กล้วย อ้อย และขนมหมิ่งสิ น้ำดื่ม และดอกไม้ต่างๆ เช่น บานไม่รู้โรย ดาวเรือง หงอนไก่ นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ในกระจาดยังมีเสื้อ ผ้าถุง เครื่องประดับ สร้อยข้อมือ ปิ่นปักผม หวี แป้ง กระจก รวมถึง เงิน ข้าวสาร กล้วย และมะพร้าวอ่อน
บริเวณลานพิธีสร้างจากไม้ไผ่สานเป็นซุ้มสี่เหลี่ยม มีทางเข้า 4 ประตู ตกแต่งโดยรอบด้วยต้นกล้วย อ้อย ทางมะพร้าวและฉัตร ภายในซุ้มตรงกลางจัดทำเป็นแคร่ไม้ไผ่และสานไม้ไผ่เป็นสี่เหลี่ยมล้อมรอบอีก ขั้นหนึ่ง มีการตกแต่งด้วยธงและพวงมาลัยดอกดาวเรือง พร้อมกับนำรวงข้าวจากข้าว 9 กอ (บือฉิเบาะ) มาห้อยไว้เหนือแคร่ บน แคร่ได้วางข้าวของที่ใช้เซ่นไหว้และสื่อถึงพระแม่โพสพ เช่น น้ำมนต์ พันธุ์ข้าวที่จะใช้ปลูกในฤดูกาลต่อไปซึ่งต้องนำมาขอต่อพระโพสพก่อน ใต้แคร่ได้นำเครื่องมือเครื่องใช้ในไร่ เช่น มีดพร้า ขวาน เคียว และเถาวัลย์(ทู่ไก่คู) มาวางโดยมีความหมายว่าขอให้แม่โสพช่วยดลบันดาลให้ได้พืชผลดี ไม่มีแมลงหรือสัตว์รบกวน ทำไร่ด้วยความปลอดภัยและได้ผลผลิตดี ที่ประตูทางเข้าทั้ง 4 ทิศ จะมีสามีภรรยาประจำอยู่ประตูละ 1 คู่ คนโผล่วเรียกว่า “พู่ไต่ภี้ไคล่” จะต้องเป็นคู่ที่ขยันทำหากิน ปลูกข้าวไร่ได้ผลดี ฝ่ายหญิงต้องเคยมีบุตรและปัจจุบันอยู่ในวัยหมดประจำเดือน โดยสามีภรรยาประจำประตูจะทำหน้าที่สื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผูกข้อมือรับขวัญให้ลูกหลานที่มาร่วมงาน
เมื่อสวดเรียกขวัญแม่โพสพเสร็จแล้ว หมอพิธีจะผูกข้อมือให้พู่ไต่ภี้ไคล้ซึ่งเป็นตัวแทนของแม่โพสพก่อน ต่อจากนั้นพู่ไต่ภี้ไคล้ก็จะผูกข้อมือให้กันและกัน พร้อม กับเชิญลูกหลานและแขกที่มาร่วมผูกข้อมือรับขวัญ พิธีการผูกชาว โผล่วจะผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือทั้งสองข้าง พร้อมกับนำของเซ่นไหว้ที่อยู่ในกระจาดมาปั้นแบ่งให้ผู้ที่มาผูกข้อมือ ส่วนเช้าเช้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 2 จะมีการทำบุญ ตักบาตรและถวายภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ซึ่งถือเป็นอันเสร็จพิธีงานบุญกินข้าวใหม่
พิธีงานบุญข้าวใหม่นี้ ถือว่าเป็นพิธีที่เชื่อมโยงกับวิถีการทำไร่หมุนเวียนเป็นอย่างมาก เพราะข้าวและผลผลิตจากไร่นี้ถูกนำมาเป็นของเซ่นไหว้เพื่อขอบคุณพระแม่โพสพ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ

พู่ไต่ภี้ไคล้ผูกข้อมือให้ลูกหลานและแขกที่มาร่วมผูกข้อมือรับขวัญ
ร้านค้าสวรรค์ : ความสนุกสนานและการมีส่วนร่วม
กิจกรรมหนึ่งที่สร้างความสนุกสนานใน เทศกาลงานบุญข้าวใหม่คือ ร้านค้าสวรรค์ที่จะจัดในคืนสุดท้ายของงาน ร้านค้าสวรรค์นี้คือ การระดมของกินทั้งคาวและหวานมาให้กับวัด จากนั้นกรรมการวัดจะทำหน้าที่บริหารจัดการของกินต่างๆ ออกมาในรูปแบบของ “บุฟเฟ่” นั่นคือ จัดการบริจาคเงินเพียงแค่ครั้งเดียว และเข้าไปทานอาหารเท่าไรก็ได้จนกว่าจะอิ่ม
กิจกรรมในคืนเปิดร้านค้าสวรรค์เริ่มประมาณสองทุ่ม แต่สำหรับผู้จัดเตรียมอาหารนั้นเริ่มกันตั้งแต่หลังเที่ยงแล้ว บ้างสาละวนกับการหุงข้าว ทำเส้นขนมจีน ส่วนวัยรุ่นจะช่วยกันขูดมะพร้าว คั้นกะทิสำหรับเตรียมทำข้าวหลาม วัยรุ่นหลายคนเข้าป่าไปหากล้วยมาทอด
อาหารจานหลักส่วนมาก อาทิ ขนมจีน ข้าวซอย น้ำยาหยวกกล้วยกับน้ำข้าวซอย กล้วยทอด ข้าวปุกทอด ข้าวต้มผัด น้ำหวานใส่เม็ดแมงลัก และข้าวหลาม เป็นต้น ชาวบ้านที่เข้ามาทางอาหารในแต่ละรอบจะเป็นการทานด้วยความสนุกสนานส่วนมากจะเป็นวัยรุ่นหรือกลุ่มคนวัยทำงานมากกว่า เนื่องจากการทานรอบแรกจะให้ผู้อาวุโสหรือแขกได้ทานก่อน และระหว่างการทางอาหารก็จะมีดนตรีและการแสดงเพิ่มบรรยากาศ

ขนมที่เตรียมไว้จัดร้านสวรรค์
หากจะเปรียบเทียบแล้ว งานร้านค้าสวรรค์ ก็คืองานสังสรรค์ ถือเป็นโอกาสกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคนในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้าน ทั้งยังเป็นโอกาสให้วันรุ่นโผล่วแสดงศักยภาพและความรับผิดชอบต่อชุมชนด้วยการช่วยงานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเตรียมงานร้านค้าสวรรค์
รถพุ่มพวง : ซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนสะท้อนเศรษฐกิจไล่โว่
พี่กรกับพี่เพ็ญพ่อค้าลูกครึ่งไทย-กะเหรี่ยงยึดอาชีพเร่ขายขายของสินค้าไปมาตามหมู่บ้านต่างๆ ในป่าทุ่งใหญ่มานานกว่า10 ปี โดยอาศัยรถขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดใหญ่รู้จักกันดีในชื่อ “รถพุ่มพวง” ซึ่งบรรทุกด้วยข้าวของมากมาย อาทิ เนื้อหมู ไก่ ปลา ลูกชิ้นเนื้อต่างๆ ไส้กรอก ผักสดชนิดต่างๆ หอม กระเทียม ขนมกรุบกรอบ บุหรี่ น้ำอัดลม กาแฟ น้ำตาล และผลไม้ตามฤดูกาล ผ้าห่ม ผ้าถุง ของเล่นเด็กเป็นต้น ทั้งสองคนมักขับรถเวียนเข้าออกอาทิตย์ละครั้งในแต่ละหมู่บ้าน แต่ก็สามารถกลับไปนอนที่บ้านในตัวเมืองสังขละบุรีได้ทุกวัน เพราะระยะไม่ไกลมาก ยกเว้นช่วงที่งานบุญหรือเทศกาลในหมู่บ้าน พวกเขาก็จะเตรียมของมาให้มากที่สุดพร้อมเครื่องปั่นไฟขนาดเล็กเพื่อค้างใน หมู่บ้านเป็นเวลาประมาณ 3-4 วัน

ลูกค้าวัยจิ๋วเลือกดูข้าวของในร้านของพี่กร
พี่กรกับพี่เพ็ญบอกว่า สินค้าที่ขายดีในช่วงเทศกาลงานบุญ คือ ขนมกรุบกรอบ และของเล่นที่พ่อแม่คนโผล่ว มักจะซื้อให้ลูกๆเพราะถือเป็นวาระพิเศษแห่งปี ส่วนในช่วงเวลาปกติสินค้าที่ขายดี คือ เนื้อไก่ ไข่ และเนื้อหมู รองลงมาคือ กาแฟ ตามด้วยผลไม้และผักสด เหตุที่ขายดีเป็นเพราะคนไล่โว่ไม่เลี้ยงไก่ ไม่เลี้ยงหมู แต่ก็ชอบทานกันมาก โดยเฉพาะตอนที่มีญาติพี่น้องมาเยี่ยม พี่เพ็ญเล่าว่าอย่างไก่หนึ่งตัวทานกันวันเดียวก็หมดแล้วเพราะคนโผล่วมีญาติเยอะ
สินค้าพิเศษอย่างหนึ่งและเป็นที่นิยมมากของคนโผล่วในป่าทุ่งใหญ่ฯ คือ กาแฟ เมื่อสิบปีที่แล้ว กาแฟถือเป็นของฝากที่มีค่ามาก เวลาคนนอกตำบลมาเยี่ยมก็มักนำกาแฟเป็นของฝาก คนโผล่วเองก็เชื่อว่า การดื่มกาแฟกับน้ำตาลทำให้มีแรงทำงานหนักได้ บางครั้งมีญาติมาเยี่ยมก็ดื่มกาแฟกันไปคุยกันไปทั้งคืน บางครั้งต้องแบกของไปขายในเมืองหรือแบกของจากเมืองเข้ามาก็มักพกกาแฟไปด้วย มักต้มใส่กระบอกไม้ไผ่ เมื่อดื่มกาแฟเสร็จก็จะเดินทางต่อ จนในวันนี้แทบทุกบ้านมักมีกาแฟซองยี่ห้อเนสกาแฟติดบ้าน น้ำตาลและน้ำมันเป็นสินค้าจำเป็นอย่างมากกับคนโผล่ว น้ำตาลให้ความหวานและเป็นพลังงานชดเชยจากทำงานหนัก ส่วนน้ำมันต้องใช้ปั่นไฟ เติมรถเครื่อง รถยนต์ และรถไถ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งของจำเป็นโดยเฉพาะในฤดูฝน
สินค้าที่พี่กรรับซื้อจากชาวบ้าน คือ ข้าว โดยรับซื้อข้าวเปลือก ในราคา 250 บาทต่อปี๊บ พริกกะเหรี่ยงแห้งจะรับซื้อ กิโลกรัมละ 150บาท พริกสดจะรับซื้อ 50บาท หรืออาจให้ชาวบ้านแลกกับสิ่งของภายในร้านในราคาที่เท่ากัน พี่กรยังเล่าเสริมอีกว่า เมื่อคนโผล่วอยากได้รถเครื่อง ก็มักจะนับราคาเป็นข้าว300 ปี๊บ ซึ่งนับว่าเป็นราคาที่สูงมากอาจราคาประมาณ75,000 บาท เนื่องจากบริษัทนายหน้าขายรถเครื่องจะให้ผ่อนในอัตราเฉลี่ยร้อยละยี่สิบ ขณะที่รถเครื่องมือสองจะมีอัตราเฉลี่ย 50 ปี๊บ
นอกจากการเป็นพ่อค้าแล้ว บางทีพวกเขาทั้งสองยังรับส่งคนเข้าออกหมู่บ้านไปยังตัวเมืองตลอดจนรับฝากข่าวและสิ่งของอีกด้วย พี่กรและพี่เพ็ญจึงมีความสนิมสนมคุ้นเคยกับคนโผล่วในหมู่บ้านต่างๆ ทั้งยังทราบเรื่องราวต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในชุมชนได้เป็นอย่างดี

ณ วันนี้วันที่สังคมภายนอกปรับเปลี่ยนไปตามกระแสแห่งวันเวลา แต่ดูเหมือนว่าโลกของโผล่วที่ไล่โว่ยังคงดำเนินชีวิตของตนตามแนวทางที่บรรพบุรุษได้วางไว้ แม้จะมีบางอย่างที่ต้องปรับเปลี่ยน แต่โดยแก่นของการดำเนินชีวิตแล้ว คนโผล่วยังยึดปฏิบัติอย่างจริงจัง และยังเป็นวิถีชีวิตที่ดำเนินสอดคล้องกับธรรมชาติ โดยมีประเพณีพิธีกรรมเป็นเครื่องร้อยเรียงให้คนโผล่วมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว จึงไม่น่าแปลกในที่อัตลักษณ์ความเป็นโผล่วของไล่โว่ยังเข้มแข็งมาถึงทุกวันนี้
*************************************
ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
รพีพรรณ เจริญวงศ์
รุ้งตะวัน อ่วมอินทร์
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
|