สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  บทความชาติพันธุ์

ตะวันรุ่งที่ไล่โว่(1)
บทความโดย : โดยทีมงาน | โพสเมื่อวันที่ 20 มี.ค 2555 11:14 น.
 




         ตะวันรุ่งที่ไล่โว่(1)


         แสงแรกแห่งอรุณสาดส่องภูผาสีแดงสัญลักษณ์แห่งไล่โว่ ตัดกับผืนฟ้าสีครามสดใส ปลุกให้ผู้มาเยือนฟื้นคืนอุ่นจากค่ำคืนเยือกเย็น ณ บ้านไล่โว่  บ้านของคนโผล่วแห่งป่าทุ่งใหญ่นเรศวร


         ไล่โว่หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่วที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่าอาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เขตการปกครองของบ้านไล่โว่ ยังรวมถึงชุมชนเล็กๆของบ้านสะละวะ ในตำบลไล่โว่ประกอบด้วยหมู่บ้านอีก  5 หมู่บ้านได้แก่  บ้านสะเน่พ่อง  บ้านกองม่องทะ  บ้านเกาะสะเดิ่ง บ้านทีไล่ป่า  บ้านจะแก


 

              คณะอนุกรรมการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อเสนอให้ไร่หมุนเวียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม อันเป็นหนึ่งในคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตกะเหรี่ยง โดยมีศูนย์ มานุษยวิทยาสิรินธรเป็นกรรมการและเลขานุการนั้น ได้ร่างมาตราการฟื้นฟูระยะยาว  ที่ว่าด้วยการส่งเสริมและยอมรับระบบไร่หมุนเวียน   รวมทั้งผลักดันให้ระบบไร่หมุนเวียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม หนึ่งในพื้นที่นำร่องศึกษาและสำรวจ คือ  ต. ไล่โว่ อ. สังขละบุรี จ. กาญจนบุรี
 

                คณะฯ เดินทางด้วยรถขับเคลื่อนสี่ล้อจากหน่วยพิทักษ์ป่าตะเคียนทอง เขตรักษษพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก เพื่อเดินทางเข้าหมู่ 4 บ้านไล่โว่ ระยะทางประมาณ 10 กม. ใช้เวลายาวนานกว่า 2 ชั่วโมงตลอดเส้นทางที่ลัดเลาะข้ามลำห้วยและหุบเขาอันอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไผ่บง และพันธุ์พืชแห่งป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเขตตะวันตก  พี่โชเฟอร์คนโผล่วเล่าว่า การเดินทางเข้าไล่โว่ด้วยรถนี้ สามารถเดินทางเข้าได้เพียง 3-4 เดือนช่วงต้นปีเท่านั้น   หากเป็นฤดูฝนจะต้องเดินเท้าเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งอาจใช้เวลานานหลายชั่วโมง  และ อาจด้วยเส้นทางการเดินทางทรหดรกชัฎด้วยป่าไผ่บงนี้เอง ที่เป็นปราการทางธรรมชาติที่ปกป้องมิให้ไล่โว่แปรเปลี่ยนวิถีชีวิตตามสังคม ภายนอกมากนัก

 
 



โผล่วคือใคร
              คำว่า “กะเหรี่ยง” เป็นคำที่คนไทยภาคกลางใช้เรียก สันนิษฐานกันว่ามีที่มาจากภาษามอญว่า “เกรี่ยง” กลุ่มชาติพันธุ์“กะเหรี่ยง” ในประเทศไทยพอจำแนกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ คือ

            1. กลุ่มกะเหรี่ยงที่เรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” หรือ “จกอ” ซึ่งชาวต่างประเทศมักจะออกเสียงเป็น “สกอว์”

            2.กลุ่มที่เรียกตนเองว่า “โผล่ว” หรือ “โผล่ง” หรือที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่ากะเหรี่ยงโปว์  นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันบ้างในทางภาษาและวัฒนธรรม เช่น “กะยาห์” หรือ “บะแว “กะยัน” หรือ “ปะด่อง” (หรือที่เรียกว่ากะเหรี่ยงคอยาว) “ปะโอ” หรือ “ต่องสู้” ซึ่งกลุ่มต่างๆ เหล่านี้มีจำนวนไม่มากนัก

            ในขณะที่ศูนย์วัฒนธรรม อบต.ไล่โว่ เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (ไทย-กะเหรี่ยง)  ที่ได้บันทึกเกี่ยวกับการเรียกชื่อกะเหรี่ยงไว้อย่างน่าสนใจว่า   คำ ว่า “กะเหรี่ยง” เป็นคำเรียกรวมกลุ่มชนทั้งสี่เผ่า อันประกอบด้วย ซู ส่อง บะเว และตองสูที่พวกมิชชั่นนารี ผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์และนักมานุษยวิทยากำหนดขึ้น เพื่อเป็นการแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ แท้จริงแล้ว ซู-ส่อง  คือ ชาติพันธุ์เดียว เป็นชื่อและรากศัพท์ดั้งเดิม   ต่อมาชนเผ่าซู เรียกตัวเองว่า “โผล่ว” ส่วนส่องเรียกตัวเองว่า “ปกาเกอะญอ” อันมีความหมายว่าเป็นมนุษย์ ผู้มีจิตใจสูง รักสันโดษ

            ความ เป็นมาของกะเหรี่ยงในอำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี มีคำบอกเล่าสืบกันว่าเดิมกะเหรี่ยงบริเวณดังกล่าวอาศัยอยู่ที่บ้านเมกะวะ เขตมะละแหม่ง ประเทศพม่า ต่อมาในปี ค.ศ.1788 ได้ เริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ห้วยซองกะเลีย อำเภอสังขละบุรี และมีการอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนกระจายกันออกไปตามลำห้วย ลำธารจนจำนวนเพิ่มขึ้น ได้รับการแต่งตั้งเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในยุคนั้น นามว่า สังขละบุรีหรือบ้านสะเน่พ่องในปัจจุบัน  
           
เยือนถิ่นโผล่ว ต. ไล่โว่
            บ้านหมู่ 4ต. ไล่โว่มีคนโผล่วอาศัยอยู่ประมาณ 40-50 ครัวเรือน นับถือศาสนาพุทธควบคู่กับคติความคิดความเชื่อของกลุ่มชนที่ว่าด้วยการเคารพและนอบน้อมต่อธรรมชาติ  บ้านเรือนของโผล่วส่วนใหญ่จะสร้างด้วยไม้ไผ่ ที่ถือเป็นต้นไม้อเนกประสงค์ของคนโผล่ว ลำต้นไม้ไผ่ นำมาทำเสา ส่วนพื้นและผนังบ้านก็ใช้ลำต้นไผ่ขนาดใหญ่มาทุบให้แบนเพื่อนำมาปูทำเป็นพื้น และข้างฝาบ้าน ส่วนหลังคาบางบ้านมุงด้วยสังกะสี บางบ้านก็มุงด้วยใบตองตึง ชาวโผล่วมีวิถีเรียบง่าย ไม่นิยมสะสมข้าวของเครื่องใช้ที่เกินความจำเป็น ดังนั้นเมื่อเข้าไปในบ้านของคนโผล่วสิ่งที่เห็นจึงมีแค่เพียงเครื่องครัว เพื่อใช้หุงหาอาหารและเครื่องนอนเท่านั้น   ในหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้  ชาวบ้านจึงใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการปั่นไฟฟ้าเพื่อใช้ในหมู่บ้าน  ด้านการเลี้ยงสัตว์คนโผล่วจะเลี้ยงวัว ควาย ไว้ใช้งานโดยเลี้ยงให้อยู่นอกหมู่บ้าน ไม่นิยมเลี้ยงเป็ดไก่ หรือหมู  อาหารหลักของคนโผล่วส่วนใหญ่เป็นพืชผักในไร่ เช่น ฟัก พริก หน่อไม้ ฟักทอง ซึ่งเป็นผลิตผลจากการทำเค่อว หรือไร่หมุนเวียน 

           

ข้าวคือชีวิต เค่อวคือจิตวิญญาณ
           การจัดวงสนทนาเรื่องไร่หมุนเวียน  ซึ่งถือเป็นโปรแกรมสำคัญในการลงพื้นที่ในครั้งนี้  เพื่อ สร้างความเข้าใจและผลักดันเรื่องส่งเสริมให้ไร่หมุนเวียนเป็นมรดกโลกทาง วัฒนธรรมอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 วงเสวนาประกอบด้วย ผู้นำชุมชน อบต.   ลุงยุเพ่ พิทักษ์ชาติคีรี และลุงเน่เส่ง ผู้อาวุโสของตำบลไล่โว่ ชาวบ้านไล่โว่ ดร. ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล ดร. ประเสริฐ ตระการศุภกร คุณวีรวัฒน์ ธีรประสาธน์ และนักวิชาการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร  ผู้แทนจากคณะอนุกรรมการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อเสนอไร่หมุนเวียนเป็รนมรดกโลกทางวัฒนธรรม


            ในการเสวนา ลุงเน่เส่ง เริ่มต้นด้วยการเล่าถึงขั้นตอนการทำเค่อว ว่าคนโผล่วจะเริ่มทำไร่ตั้งแต่เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ เมื่อเลือกพื้นทื่ทำไร่ได้แล้ว จึงประกอบพิธีดุเหม่ยละ(ตีป่า)เพื่อขออนุญาตจากจิตวิญญาณเจ้าของพื้นที่ และเสี่ยงทายความอุดมสมบูรณ์ โดยใช้ไม้ยาว 1 วา ตีพื้นดิน 3 ครั้ง เป็นการบอกกล่าว    แล้วนำไม้มาวัดใหม่ หากไม้ยาวกว่า หรือสั้นกว่าเดิม  ก็ถือว่าได้รับอนุญาต  จากนั้นจึงทำการแผ้วถางและฟันไร่  จนเข้าสู่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม จึงเผาไร่ ก่อนเผาจะเคาะหรือตีไม้ให้เกิดเสียงดัง เพื่อไล่สัตว์ทุกชนิดออกจากบริเวณพื้นที่  และในช่วงเดือนดังกล่าว จะมีการตำข้าว ผ่าฟืนอยู่กับบ้าน เพื่อเตรียมการไว้ในหน้าฝน จนครั้งเดือนมิถุนายน-ตุลาคม โดยเจ้าของไร่ ต้องทำพิธีบอกกล่าวแก่ซุ่งทะรี (แม่ธรณี)  จากนั้นจึงหยอดข้าว 9 กออันเป็นแม่ข้าวหรือขวัญข้าวที่คัดสรรจากกอข้าวที่ดีที่สุดจากปีก่อน โดยข้าว 9 กอ จะหยอดตรงกลางไร่ภายใต้กรอบไม้รูปสี่เหลี่ยม ตรงกลางจะปักไม้ หุ้มด้วยเมล็ดข้าว ที่ห่อไว้ด้วยดิน เพื่อเป็นการบอกกล่าวแก่แม่โพสพ(ภี่บือโหย่)   เมื่อล่วงสู่เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม เป็นเวลาที่ข้าวออกรวงสุกเต็มที่ คนโผล่วจะเก็บเกี่ยวแล้วลำเลียงมายังลานฟาดข้าวของหมู่บ้าน เจ้าของไร่จะต้องจัดเตรียมความพร้อมเพื่อฟาดข้าวประจำปี   จน เมื่อฟาดข้าวเสร็จแล้วจึงนำข้าวขึ้นยุ้ง และกินข้าวใหม่เป็นครั้งแรก พร้อมกับการบูชาเครื่องมือทำไร่ เช่น มีด พร้า หินลับมีด จอบ เสียม ก่อนการกินข้าวใหม่ ประหนึ่งเป็นการบอกกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปกปักให้การทำไร่ครั้ง ต่อไปราบรื่นได้ผลผลิตสมบูรณ์ดี

 

                            ลุงยุเพ่ พิทักษ์ชาติคีรีผู้อาวุโสของตำบลไล่โว่
           


 

             ลุงยุเพ่ พิทักษ์ชาติคีรี เล่าว่า “สำหรับคนโผล่ว   เราคิดเสมอว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่มาก เราเป็นเพียงผู้อาศัยป่า อาศัยธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่าเป็นของธรรมชาติ  เมื่อใช้แล้วก็ต้องรู้คุณค่า สำนึกคุณ ต้องรักษา โผล่วสืบทอดความคิดกันมาแบบนี้   การทำไร่เค่อวเป็นการทำไร่ที่สอดคล้องกับความเชื่อและพิธีกรรม  ดัง นั้นเวลาเราปลูกข้าว ทำเค่อว เราจะนึกเสมอว่า เราทำไว้เพื่อกิน ทำให้พอกินในหนึ่งปี เราอยากมีข้าวกิน เราก็ปลูกข้าว เราอยากมีผักกิน เราก็ปลูกผัก ชีวิตเราก็ดำเนินอยู่เท่านี้อยู่กับเค่อว อยู่กับป่า  เราจะสร้างบ้าน เราก็ใช้ไม้ไผ่  สร้างกันเอง เสื้อผ้าเราก็ทอใช้เอง ชีวิตไม่เดือดร้อน  เพราะพึ่งตนเองและพึ่งพาธรรมชาติ”  
 

        พี่สุเมธ ชาวโผล่วเกาะสะเดิ่ง เล่าว่า ระยะเวลาการหมุน7 ปีไม่พอกับการฟื้นตัวของป่า  หาก พักเพียงเจ็ดปีวัชพืชก็เยอะเพราะไม้ใหญ่ยังโตไม่ทัน ปุ๋ยในดินก็ยังไม่มากนัก ทำให้ต้องพึ่งยาฆ่าหญ้าแน่นอนและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ที่ต้องใช้กันที่เกาะสะเดิ่งอยู่ที่ประมาณห้าลิตรต่อแปลง ระยะเวลาที่เหมาะสมต้องถึง 15 ปี  การใช้ที่ซ้ำไปมา  ผลผลิตก็ลดลง   พี่สุเมธเล่าว่าเคยลองไปทำงานที่กรุงเทพฯ แต่ก็ตัดสินใจกลับบ้าน  เพราะ ชีวิตกรุงเทพฯ มันอยู่ยากทั้งเรื่องสภาพแวดล้อม อากาศ อาหารการกิน อยู่บ้านทำไร่ไม่ต้องซื้อข้าวกิน กับข้าวก็หาผักได้ อยู่กรุงเทพฯ หาเงินได้  แต่ค่าใช้จ่ายก็มาก พี่สุเมธจึงยืนยันว่าจะทำไร่ต่อไป  จนกว่าจะทำไม่ได้ หากปีไหนได้ข้าวน้อย ก็ยังพอแบ่งปันกันได้   ปีไหนได้ข้าวจำนวนมากก็ให้เพื่อนยืมไป ปีหน้าไม่ทำก็ได้ เพราะเพื่อนก็จะนำข้าวมาคืน หรือขอปันจากญาติๆ แล้วเราก็ไปช่วยงานเขา


                                                        ไร่ซาก
 
            การทำไร่เค่อวเป็นการพึ่งพาช่วยเหลือกันโดยไม่ต้องใช้เงิน สำหรับความรู้ในการทำไร่นั้นก็ยังคงยึดถือแบบเดิมทั้งพิธีกรรม ข้อห้ามต่างๆ แต่คนเดี๋ยวนี้อาจทำตามข้อห้ามไม่ได้หมดเพราะไม่มีที่ไร่ให้เลือกมากเหมือน ก่อน แต่ถ้าให้คิดว่าไม่ทำไร่ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรเพราะอย่างแรก และจำเป็นคือข้าว


             ในขณะที่คุณวีรวัฒน์ ธีรประสาธน์ อดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร อดีตหัวหน้ารักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร  แสดง ทัศนะไว้ว่าจากประสบการณ์ที่ได้ทำงานและคลุกคลีกับชาวโผล่ว พบว่า การทำเค่อวของชาวโผล่วเป็นภูมิปัญญาที่ทำให้คนโผล่วมีสำนึกในการใช้ทรัพยากร ป่าอย่างรู้คุณค่า ป่าในมุมมองของคนโผล่วไม่ใช่ทรัพยากร  แต่ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้คุณ ให้ที่อยู่ ให้ที่ทำกิน และให้ชีวิต วิถีชีวิตที่ชาวโผล่วเป็นส่วนหนึ่งของป่าจึงทำให้เกิดการดูแลป่าอย่างเป็น รูปธรรม การที่ป่าทุ่งใหญ่ฯ มีความสมบูรณ์ทางชีวภาพถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากภูมิปัญญาของชาวโผล่ว
           
 
เดินป่า  ดูไร่เค่อว
           
           เมื่อได้ฟังความคิดความเชื่อเกี่ยวกับการทำไร่ของคนโผล่วที่พอจะเป็นพื้นฐานสร้างเข้าใจในการทำไร่เค่อวแล้ว ก็ถึงเวลาที่คณะฯ จะลงพื้นที่ดูไร่เค่อวหรือไร่หมุนเวียน คนกะเหรี่ยงไม่มีคำว่าไร่หมุนเวียน มีเพียงคำว่า “เค่อว” กับ “ไร่ซาก” รถกระบะสองคันบรรทุกพวกเราทั้งหมดประมาณ 20 คน ออกไปยังไร่บริเวณทางเข้าหมู่บ้านระยะทางไม่น่าจะเกิน 2 กิโลเมตร


            ไร่ข้าว ปลูกได้ทั้งข้าวเหนียวและข้าวเจ้า ปลูกได้พร้อมกันเพียงแบ่งพื้นที่ตามจำนวนข้าวที่ต้องการ ข้าวไร่เป็นข้าวกลุ่มที่ขึ้นดีบนที่สูงไม่ต้องการน้ำมากอย่างข้าวนา การปลูกใช้เพียงการขุดหลุมและหยอดเมล็ด จากนั้นก็อาศัยฟ้าฝนเป็นหลักและคอยระวังสัตว์มากินหรือมาเดินย้ำ พืชอื่นๆ ก็ปลูกได้ตามความต้องการใช้ของแต่ละปี พืชที่ปลูกในไร่จะเป็นประเภทพืชล้มลุก ถ้าเป็นพื้นที่สวนจะเป็นพวกไม้ยืนต้นที่เก็บผลกินได้นาน


            การทำไร่จึงเป็นงานที่หนักในช่วงแรกคือ ฟันไร่ และ ปลูกข้าว แต่ในระหว่างรอข้าวโตก็ไม่ต้องไปไร่ทุกวันอาจไปดูแล ไปดักจับสัตว์พวกตุ่นและหนูบ้าง ส่วนสัตว์ใหญ่จะกั้นรั้วไม้ไผ่ล้อมรอบไว้ไม่ให้เดินหลงเข้ามาเหยียบทำลาย ข้าว เมื่อข้าวท้องแก่ใกล้เก็บเกี่ยวก็จะไปไร่บ่อยหน่อยเพื่อกำหนดวันเกี่ยวข้าว


          ไร่ซากปีแรกเพิ่งผ่านการพิธีฟาดข้าวมาเพียงหนึ่งสัปดาห์ แต่สังเกตได้ว่ามีหญ้าขึ้นอยู่ทั่วไป สอบถามได้ความว่าเนื่องจากปีที่แล้วฝนเยอะเผาไร่ไม่ได้ วัชพืชจึงเยอะ ผลผลิตข้าวก็พลอยได้น้อยกว่าที่ควร นอกจากพืชที่ตั้งใจปลูกร่วมกับข้าวไร่ ยังมีพืชบางชนิดที่ขึ้นเองและใช้กินได้   ส่วน ซากตอไผ่ที่ถูกเผานั้นหลังการเก็บใบยาสูบและไร่ซากได้ฟื้นตัว ต้นไผ่เหล่านี้ก็จะแทงหน่อใหม่ขึ้นมาในหน้าฝนและโตเป็นก่อใหญ่ต่อไป ในระยะเวลาประมาณ 7-15 ปีที่ไร่ซากฟื้นตัวยิ่งกอไผ่โตมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เกิดร่มเงาและวัชพืชที่ คลุมหน้าดินก็จะน้อยลงมากตามไปด้วย  ดัง นั้นเวลาที่เหมาะสมควรจะเป็น 10 ปีขึ้นไป กอไผ่ที่ถูกตัดและเผาจะเป็นปุ๋ยที่ดีแก่ไร่ แม้ว่ายิ่งไผ่ใหญ่โตมากเท่าไหร่ความลำบากและอันตรายยามฟันไร่จะมากขึ้นเท่า นั้น แต่นั่นหมายถึงผลผลิตของข้าวที่จะมากขึ้นไปด้วย


 

         ข้าวที่ใช้ในพิธีกรรม คือ ข้าวเก้ากอ ที่ถือว่าเป็นแม่โพสพ (ภี่บือโหย่ว) สำหรับใช้ในพิธีกรรมทำขวัญข้าวหลังการเก็บเกี่ยว ข้าวเก้ากอจะปลูกร่วมอยู่ในไร่ข้าวซึ่งผู้ปลูกจะเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมมัก จะเป็นที่ราบบนเนินเขา โดยอาจทำสัญลักษณ์ไว้ เช่น ปักไม้ หรือล้อมตาข่าย และเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะเก็บพร้อมกับข้าวในไร่แต่แยกไว้เฉพาะเพื่อนำมา ใช้ในพิธีฟาดข้าว และทำขวัญข้าว หลังจากเสร็จพิธีเมล็ดข้าวจากเก้ากอนี้จะถูกนำไปใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ผสมปลูก ไปกับข้าวอื่นๆ แต่ส่วนหนึ่งจะนำไปใช้ปลูกข้าวเก้ากอสำหรับฤดูกาลต่อไป หากปีไหนที่เว้นวรรคไม่ทำไร่ข้าวเมล็ดพันธุ์จะไม่ได้เก็บไว้อาจจะให้ครอบ ครัวอื่นนำไปใช้ เมื่อปีถัดไปจะปลูกอีกครั้งก็ไปขอเมล็ดพันธุ์ข้าวของปีนั้นจากไร่ของเพื่อน บ้านได้


           การเกี่ยวข้าวและฟาด ข้าวจะเป็นงานลงแรงของทั้งหมู่บ้านเพราะต้องทำให้เสร็จภายในคราวเดียวไม่ว่า จะเสร็จดึกแค่ไหนถ้าไม่เสร็จก็จะไม่กินข้าวกัน อาหารจะถูกหุงหาในไร่นั่นเอง ข้าวที่กินคือข้าวใหม่ที่เพิ่งฝัดเสร็จ เมล็ดข้าวเปลือกจะถูกเก็บไว้ในยุ้งข้าวบนเนินกลางไร่ ที่เก็บข้าวนี้สร้างจากไม้ไผ่เป็นศาลาสี่เสาชั้นเดียวยกพื้นสูงเกือบหนึ่ง เมตร รอบยุ้งข้าวมีตาข่ายขึงรอบไม่ไผ่ซีกที่ปักค้ำอยู่สูงประมาณหนึ่งฟุตจากพื้น ตาข่ายนี้ไว้กันสัตว์จำพวกหนูที่จะเข้าไปกินข้าวเปลือก ข้าวเปลือกที่ยังไม่ใช้จะเก็บไว้ที่ยุ้งกลางไร่ก่อน ส่วนที่นำกลับไปบ้านก็จะนำไปตำไว้หุงหากกินในแต่ละวัน คนที่นี่ไม่นิยมสีข้าวเพราะบอกว่าข้าวที่ใช้การตำกินอร่อยกว่า


 
            ไร่ซากปี ที่ 2 เราเห็นกอข้าวแห้งที่เพิ่งตัดไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา กอข้าวแต่ละกอห่างกันประมาณ 30 ซม. ต้นหญ้าสีเขียวเริ่มงอกสูงเท่ากอข้าวแห้งอยู่ทั่วไร่ ตามซากกอไผ่ที่เผาไว้เมื่อฤดูกาลที่แล้วมีต้นยาสูบที่ขึ้นอยู่สูงประมาณเอว เจ้าของไร่จะปลูกยาสูบไว้ตามก่อไผ่เพราะดินบริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์มาก นอกจากยาสูบแล้วพืชหลายอย่างจะปลูกแซมอยู่ในไร่ข้าว เช่น ดอกดาวเรือง พืชคล้ายลูกเดือย พริก กล้วย เป็นต้น และพืชเหล่านี้จะยังเก็บกินเก็บใช้ได้หลังจากเกี่ยวข้าวแล้ว  ไร่ ซากของเมื่อสองปีที่แล้วที่เราเรียกแทนว่าไร่ซากปีที่สองนั้น จะมีลักษณะเหมือนทุ่งมีหญ้าและวัชพืชขึ้นปกคลุมดินอยู่ทั่วไปในระดับที่ยัง ไม่สูงท่วมหัว


            ไร่ซากปี ที่สามขึ้นไปก็จะเริ่มรกแน่นไปด้วยหญ้าและพืชประจำถิ่นต่างๆ คล้ายป่ามากขึ้นแต่ไม่มีต้นไม้ใหญ่หรือกอไผ่ใหญ่โตร่มครึ้มอย่างสภาพป่า ธรรมชาติ
เมื่อเดินย้อนกลับเข้ามาใกล้หมู่บ้าน  รอบๆ บ้าน มีกล้วย มะพร้าว หมาก ทุเรียน บางบ้านทำแปลงผักสวนครัว


            แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นในการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการผลักดันให้ ไร่หมุนเวียนเป็นมรดกทางโลกทางวัฒนธรรม ณ ไล่โว่ แห่งนี้ แต่ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจ เห็นชีวิต เห็นวัฒนธรรมของคนโผล่วผ่านภูมิปัญญาการทำเค่อว วิถีชีวิตที่ผูกพันกับป่า ความเชื่อ และจารีตในการใช้ แบ่งปัน และดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน  การ ทำความเข้าใจในวิถีที่แตกต่าง มิได้เอื้อให้เกิดการยอมรับในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนเท่านั้น หากยังเป็นภาพสะท้อนที่ทำให้เรากลับมามองตนเองได้อย่างชัดเจนขึ้นอีกด้วย 


            เช้า ของวันที่คณะของเราเดินทางกลับ แสงสีทองยามเช้าสะท้อนภูผาไล่โว่ยังสว่างแจ้งสดใสเช่นเดิม เป็นที่เหมือนสัญญาที่บอกว่าแม้ผู้คน สังคม และวันเวลาจะเปลี่ยนแปลงผันผ่านกาลไปเช่นไร แต่แสงตะวัน ณ ไล่โว่จะสว่างในใจของชาวโผล่วตราบนานเท่านาน
 
                                         **********************************************   
                                                                                          ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ                                                                                               รพีพรรณ เจริญวงศ์
                                                                                              รุ้งตะวัน  อ่วมอินทร์
                                                               ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)

 


  ย้อนกลับ   

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง