เขตวัฒนธรรมพิเศษกับความจริงที่เกิดขึ้นของกลุ่มชาติพันธุ์
บทความโดย :
โดยทีมงาน | โพสเมื่อวันที่ 03 ก.พ. 2555 10:52 น.
เขตวัฒนธรรมพิเศษกับความจริงที่เกิดขึ้นของกลุ่มชาติพันธุ์
จากมติคณะรัฐมนตรี ในเรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถิชีวิตชาวเลและชาวกะเหรี่ยง ในปี พ.ศ.2553 ทำให้คำว่า “เขตวัฒนธรรมพิเศษ” เป็นที่รู้จักของสาธารณะชนมากขึ้น อีกทั้งยังถูกกล่าวถึงในแวดวงบรรดาเหล่านักวิชาการที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิ มนุษยชน สังคม วัฒนธรรม และนักมานุษยวิทยา ใน แง่แนวคิดและวิธีการจัดการว่าจะทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาให้กับกลุ่ม ชาติพันธุ์ได้ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งปัญหาทางด้านสัญชาติ ที่ทำกินและวิถีชีวิต หรือแม้แต่การสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีและการจัดการศึกษาให้กับเด็กในท้องถิ่น
การเสวนาวิชาการ ชุดนักมานุษยวิทยามองสังคมไทยร่วมสมัย ในหัวข้อ “เขตวัฒนธรรมพิเศษกับศักดิ์ศรีของกลุ่มชาติพันธุ์” จัดโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน) โดยมี ดร. ขวัญชีวัน บัวแดง นักวิจัยทางสังคม จากสถาบันวิจัยทางสังคมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และดร.นฤมล หิญชีระนันทน์ อรุโณทัย นักวิชาการจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาวิทยาลัยมาร่วมวงเสวนา ในครั้งนี้อาจารย์ทั้งสองท่านได้สะท้อนให้เห็นภาพของการดำเนินการตามมติ ครม. ตั้งแต่ความเป็นมาของนโยบายและปัญหาในการดำเนินการ
โลกาภิวัตน์ : จุดเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยง
ดร.ขวัญชีวัน บัวแดง นักวิชาการผู้มีความเชี่ยวชาญและคลุกคลีกับงานของกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวกะเหรี่ยง ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้ว่า
“ปัญหา ของกลุ่มชาติพันธุ์ เกิดจากสิ่งที่กระทบเข้ามาในเรื่องของความทันสมัย ทำให้ความคิดความเชื่อของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงเช่น ความเชื่อเรื่องผี ระบบอาวุโส หรือเรื่องประสบการณ์ที่ผู้อาวุโสได้สั่งสอนมา ความทันสมัยที่ผ่านระบบการศึกษาและสื่อเข้ามาในชุมชน ย่อมส่งผลกระทบต่อภาษา วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป จากที่มีความผูกพันกับธรรมชาติ ปัจจุบันชาวกะเหรี่ยงจำนวนหนึ่งต้องเข้าไปประกอบอาชีพในตัวเมือง การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดเช่นนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนรุ่นหลังที่มี ระบบความคิดความเชื่อแบบใหม่ที่เข้ามาแทนที่ ปัญหาที่พวกเขาพบคือไม่สามารถจะไปแข่งขันกับคนในเมืองได้ จะกลับไปที่ท้องถิ่นตนเองนั้นก็ไม่มีภูมิความรู้เดิมที่จะใช้ดำรงชีวิต ต่อจากนั้นปัญหาทางด้านคุณภาพชีวิตของเขาและปัญหาทางด้านสังคมก็จะตามมา”
วิถีชาวเลกับที่มาของปัญหา
ในส่วนปัญหาของชาวเล ดร.นฤมล หิญชีระนันทน์ อรุโณทัย ผู้ทำวิจัยและมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับชาวเลได้สะท้อนปัญหาที่เกิด กับกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลให้กับผู้เข้าร่วมการเสวนาได้เข้าใจถึงสาเหตุของ ปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่อง concept of owner มีวิถีชีวิตที่ไม่ต้องการครอบครองทรัพยากร หรือถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเหมือนคนใน วัฒนธรรมอื่นๆ และการเป็นชนเผ่าแบบ non-literate
“การ ไม่แสวงหาทรัพยากรเพื่อครอบครองของชาวเล ไม่ใช่ว่าเขามีปรัชญาดีเลิศแต่เพียงเพราะวิถีชีวิตของเขา เป็นแบบเช้ามาออกทะเลตกปลา หาปู หาปลามากิน จึงไม่มีความจำเป็นต้องจับจองครอบครอง หรือต้องมีเอกสารสิทธิ์ที่จะทำมาหากินในพื้นที่ แต่เมื่อวันหนึ่งถิ่นที่เขาเคยได้ใช้ทำมาหากินเกิดมีเอกสารสิทธิ์ ก็เลยเกิดปัญหาขึ้น...”
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องความทันสมัยที่เข้ามา การรับรู้ข่าวสารของชาวเลเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ทำให้วิถีชีวิตของชาวเลเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับกรณีของชาวกะเหรี่ยง อีกทั้งการมี รู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าคนเมืองและเจ้าหน้าที่ ชาวเลจึงรักสันโดษ และจะมีปฏิสัมพันธ์เฉพาะภายในกลุ่มของตนเองเท่านั้น ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกรับการแก้ไขจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง
สิทธิในการทำกินของชาวกะเหรี่ยงกับความขัดแย้งกับหน่วยงานรัฐ
กลุ่มชาวกะเหรี่ยงเองก็มีปัญหาการทำกินในพื้นที่ของตัวเองเช่นกัน ดร.ขวัญชีวันเล่าว่า “ปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ดำเนินชีวิตอยู่กับธรรมชาติ เมื่อรัฐเข้าไปถือกรรมสิทธิ์และก็ทุนเข้าไปยึดครอง ก็ทำให้เกิดปัญหาและแทบจะไม่มีพื้นที่ให้เขาแล้ว ทั้งๆที่เขาได้อาศัยอยู่มาก่อนที่จะเกิดการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติหรือ เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ สุดท้ายเขาก็เป็นผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย”
ปัญหาระบบ การจัดการพื้นที่ทำกินของชาวกะเหรี่ยงที่มีวิธีการแผ้วถางในการทำไร่หมุน เวียนที่ถือว่าเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิม แต่ก็ยังมีเจ้าหน้าที่บางคนที่ยังไม่เข้าใจและดำเนินการจับกุมอยู่ ทั้งๆที่มีผลการศึกษาออกมาแล้วว่าวิธีนี้ไม่ได้ส่งผลเสียต่อผืนป่าแต่อย่าง ใด
“ประเทศ ไทยเป็นประเทศที่กฎหมายกับการปฏิบัติไม่เคยไปด้วยกันเลย กฎหมายอนุรักษ์ อุทยานบอกว่าห้ามทำกิจกรรมอะไรที่เป็นอันตรายต่อพื้นป่า แต่ในความเป็นจริงมีชุมชนหลายล้านคนอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ เกิดกิจกรรมมากมายที่ต้องใช้ในการดำรงชีวิต แต่กฎหมายกับวิถีชีวิตมันไม่ไปด้วยกัน ที่นี้ก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้าอุทยาน คนไหนแอคทีฟหน่อยก็จะจับกุมเพื่อสร้างผลงาน พออยู่ๆไปก็จะเข้าใจชาวบ้านหรือไม่ก็คุยกันเข้าใจกันแล้วก็หยุดไป ก็จะเห็นได้ว่าความมั่นคงในชีวิตของพวกเขาไม่มีเลย จะถูกจับเมื่อไรก็ได้”
วาทกรรมในเรื่องไร่หมุนเวียนนี้จึงเป็นประเด็นหนึ่งซึ่งถูกยกมาต่อสู้กัน เรื่อยมาเป็นระยะ 10 ปีแล้ว อีกทั้งยังมีทวีคูณความหนักหน่วงของปัญหาเมื่อมีมาตรการให้ใช้การ คำนวณCarbon-credit มาคิดหาค่าเสียหายจากการทำไร่ทำนาเมื่อมีการตัดสินว่าผิดจริง ซึ่งค่าเสียหายก็มีมูลค่านับแสนบาทต่อ1 ไร่
การบุกรุกที่ทำกินของชาวเล เพื่อพัฒนาที่ทำกินของนักลงทุน
เนื่องจากใน ปัจจุบันมีนายทุนจำนวนมากเข้าไปซื้อที่ดินฝั่งอันดามันเพื่อทำธุรกิจเกี่ยว กับบ้านจัดสรร บ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะการเข้ามาของนักลงทุนชาวต่างชาติ ที่นิยมมีบ้านพักหรูหราตามแหล่งสถานที่ที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากทางภาครัฐในการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อ เนื่อง ส่งผลให้ชาวเลที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มาก่อนร่วมเป็นร้อยปี กำลังถูกนายทุนมาขอซื้อที่ดินเพื่อนำไปสร้างผลประโยชน์แก่ตนเอง โดยใช้มาตราการทางกฎหมายที่ดินออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบ และพยายามขับไล่กลุ่มชาวเลออกจากพื้นที่ จึงทำให้เกิดการร่วมตัวกันของชาวเลกว่า 1,000 คน จัดการเสวนาเพื่อสะท้อนปัญหาต่างๆ ในวันรวมญาติชาติพันธุ์ชาวเล ที่จังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2553 ที่ผ่านมา
ดร.นฤมล หิญชีระนันทน์ อรุโณทัย ชี้แจงเพิ่มเติมว่า “จากเดิมชุมชนชาวเลสามารถอาศัยบริเวณแนวชายฝั่งทะเล โดยไม่มีปัญหาเรื่องที่ทำกิน แต่หลังจากมีการกระตุ้นด้านการท่องเที่ยวส่งผลให้ชาวเลมากกว่า มีปัญหาในเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ทั้งที่เคยอยู่มาก่อน และภายหลังเหตุการณ์สึนามิที่มีการรื้อฟื้นการครอบครองสิทธิทางที่ดิน ก็เป็นการเปิดประเด็นปัญหาให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น โดยพบว่าชุมชนชาวเล กลายเป็นผู้บุกรุก เพราะไม่มีโฉนด บางพื้นที่เป็นที่สุสานของบรรพบุรุษ และยังเกิดปัญหาการใช้ทรัพยากรเพื่อทำมาหากินในพื้นที่ สำหรับปัญหาที่เอกชนฟ้องร้องชาวเล เป็น เรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก เพราะในกระบวนการยุติธรรมมักยึดติดอยู่กับข้อกฎหมายที่เป็นพยานเอกสารราชการ ทั้งๆ ที่ชาวเลมีวัฒนธรรม จารีต และประเพณีที่สามารถยืนยันการเข้ามาอยู่อาศัยก่อนได้ เช่น มีสุสานบรรพบุรุษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการตั้งถิ่นฐานมานานก่อนที่จะมีการออกเอกสารสิทธิของ เอกชน”
เขตวัฒนธรรมพิเศษ นโยบายของภาครัฐกับการแก้ปัญหาสิทธิและศักดิ์ศรีชาติพันธุ์
จาก ปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและชาวเล ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมมีนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลและฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่ม ชาติพันธุ์กะเหรี่ยง โดยในกรณีของชาวเลรัฐได้มีมาตราการฟื้นฟูเป็น 2 ระยะ คือระยะสั้น จะให้มีการจัดทำโฉนดชุมชนเพื่อเป็นเขตสังคมและวัฒนธรรมพิเศษ แก้ปัญหาในด้านการไม่มีสัญชาติ จัดให้มีการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น ทางด้านภาษาและวิถีชีวิตชุมชน ส่วนมาตรการระยะยาวจะให้มีการร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐเพื่อกำหนดเขต วัฒนธรรมพิเศษของกลุ่มชาติพันธุ์
ส่วน มาตรการฟื้นฟูชาวกะเหรี่ยงจัดให้มีการดำเนินนโยบายในระยะสั้นและระยะยาว ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอีกหลายหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย ดูแลเรื่องปัญหาการจับกุม กระทรวงศึกษาธิการ ดูแลเรื่องการส่งเสริมวัฒนธรรมกะเหรี่ยง กำหนดหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ส่งเสริมนโยบาย “พหุภาษา” ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนของชาวกะเหรี่ยง และส่งเสริมสังคมให้เข้าใจในการอยู่ร่วมกันแบบพหุวัฒนธรรม กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ดูแลเรื่องข้อพิพาทเรื่องที่ทำกิน และการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชนบนพื้นที่สูง กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดูแลเรื่องการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมและกิจกรรมของเครือข่ายทางวัฒนธรรมกลุ่ม ชาติพันธุ์กะเหรี่ยง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดูแลเรื่องการส่งเสริมระบบไร่หมุนเวียนที่เป็นวิถีวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยง เป็นต้น
ความจริงที่เกิดขึ้น ภายหลังมติครม.
มติครม. ในเรื่อง นโยบายในการฟื้นฟูวิถิชีวิตชาวเลและชาวกะเหรี่ยง ในปี พ.ศ.2553 จึง เป็นแนวทางหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะบรรเทาปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ในการทำงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในแนวนโยบายนั้น เป็นเรื่องที่ยากและมีปัญหาในการดำเนินการพอสมควร
ดร.ขวัญชีวัน ได้สะท้อนปัญหาที่เกิดจากการทำงานภายหลังมีมติครม. อีกทั้งยังยกกรณีศึกษาตัวอย่างปัญหาการขัดกันในระดับนโยบายต่อนโยบาย
“มติ คณะรัฐมนตรีค่อนข้างดี เราเขียนข้อเสนอไว้ว่าให้ยุติการจับกุมชาวบ้านเพื่อทบทวนในเรื่องของการทำ ไร่หมุนเวียน แต่ผู้ปฏิบัติก็ขึ้นอยู่กับแต่ละกระทรวง เวลามีประชุมระดับจังหวัด ทางป่าไม้เขาก็ Say No เพราะว่ากฎหมายเขาเป็นอย่างนั้น อย่างปัญหานโยบายในการจัดการการศึกษาในเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษชาวบ้านหนอง มณฑา (มอวาคี) อำเภอ แม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ต้องมีการจัดการการศึกษาให้เด็กมีความรู้ทั้งวิชาการแบบส่วนกลางและการ สร้างการเรียนรู้ให้เด็กมีความภาคภูมิใจในการเป็นกะเหรี่ยง กับนโยบายในการสั่งปิดโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนไม่ถึง 30 คน โดยเกรงว่าถ้านโยบายการสั่งปิดโรงเรียนขนาดเล็กยังมีต่อไป จะเป็นการผลักดันให้เด็กออกไปจากพื้นที่และเข้าสู่ระบบการศึกษาแบบเดียวทั้ง หมด เป็นต้น”
ดร.นฤมล ยังแสดงความเป็นห่วงในประเด็นการผลักดันจากภาคการเมืองในรูปแบบตายตัวที่มาก เกินไป จนกลายเป็นนิคมชาติพันธุ์ต่างๆ ก็อาจจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็เป็นได้
สรุป
การจัดตั้งเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษเป็นแนวคิดที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโต้ กระแสการพัฒนาที่เข้ามาบุกรุกวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์มากเกินไปจนเกิด เป็นปัญหา แนวคิดนี้จึงอาจจะเป็นแนวทางการแก้ปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่นำเรื่องที่ อยู่อาศัย ที่ทำกิน การใช้ทรัพยากร วิถีชีวิต ขนบธรรมประเพณี และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์มาพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยตั้งอยู่บนความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะแต่ละส่วนส่งผลกระทบต่อกันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และเพื่อต้องการเพิ่มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยให้กลุ่มชาติพันธุ์แต่ละชุมชนมีสิทธิที่จะตัดสินใจในการเลือกรูปแบบวิถี ชีวิต วัฒนธรรมด้วยตนเองว่าสิ่งใดที่เขาต้องการจะสืบทอดหรือสิ่งใดที่เขาต้องการจะ ละทิ้ง หรือแม้แต่สิทธิในการจัดการพื้นที่ทำกินเองก็ตาม แต่ในการดำเนินงานจริงนั้น ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องยาก นอกจากจะเป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทยแล้ว การจัดการวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มคนในลักษณะนี้ยังเป็น เรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อนพอสมควร อีกทั้งยังต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนในสังคมในการแก้ไขปัญหาให้ครบ ทุกกระบวนการ
สำหรับ ประเทศไทยสถานการณ์การจัดตั้งเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษนี้ก็ยังเป็นเพียง โครงการนำร่องและเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เรายังต้องทำการศึกษาและทดลองในพื้นที่นำร่องนี้ต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าพื้นที่นำร่องนี้สำเร็จแล้วเราจะสามารถถอดบทเรียนและนำไป แก้ไขปัญหาในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
…..................................................................
พณกฤษ อุดมกิตติ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
|