"นโยบายพหุวัฒนธรรมในประเทศเยอรมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง?"
บทความโดย :
โดยทีมงาน | โพสเมื่อวันที่ 03 ก.พ. 2555 10:11 น.
ฟุตบอลยุโรปและคำปราศรัยที่ปอตสดัม
ผู้เขียนขอเริ่มเรื่องนี้ด้วยการพาท่านผู้อ่านไปยังการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปรอบคัดเลือกเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ปีที่แล้ว (2553) ระหว่าง เยอรมันกับตุรกี โดยแข่งกันที่เมืองซึ่งมีประชากรตุรกีอาศัยอยู่มากที่สุดเป็นอันดับสองของ โลกรองจากเมืองอิสตันบูล นั่นคือเมือง เบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน!!
บรรยากาศ ในสนามจึงออกจะเหนือจริงอยู่เล็กน้อยเมื่อแฟนบอลตุรกีต่างส่งเสียงร้อง ตะโกนอย่างกึกก้องประหนึ่งว่ากำลังเชียร์อยู่ในสนามเหย้าของตัวเอง อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ กองหน้าทีมชาติเยอรมัน เมซุต โอซิล ซึ่งยิงได้ 1 ประตูในแมตช์นี้ก็เป็นคนเชื้อสายตุรกีเต็มตัวแต่เลือกถือสัญชาติเยอรมัน โอซิลจึงโดนโห่อย่างหนักแทบจะตลอดทั้งเกม (จบเกมส์ เยอรมันชนะตุรกี 3 ประตูต่อ 0) ในด้านหนึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่โอซิลถูกแฟนบอลทีมเยือน (ตุรกี) มาโห่ไล่ถึงในสนามเหย้าของตัวเอง (เยอรมัน) แต่เมื่อคิดไปอีกด้านหนึ่งก็คงไม่แปลกนักเพราะเบอร์ลินก็เป็นบ้านของคนตุรกีหลายล้านคนด้วยเช่นกัน
ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในแมตช์ดังกล่าวผู้นำของทั้งสองประเทศได้เข้ามาชมอยู่ด้วยกันในสนาม โดยนายกรัฐมนตรี นายรอยั๊บ ฏอยยิบ อัรดูฆอน ได้พันผ้าพันคอลายธงชาติของทั้งสองประเทศ คล้ายจะสื่อนัยว่าคนทั้งสองชาติสามารถถักทอความสัมพันธ์อยู่ร่วมกันต่อไปได้ เหมือนผ้าพันคอผืนนี้
อย่างไรก็ดีหลังจากการแข่งขันจบไปไม่กี่วัน นางแองเจลา เมอร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ก็ได้ออกมา กล่าวอย่างเป็นทางการต่อหน้าผู้สนับสนุนของเธอในการประชุมสมาชิกพรรควัยรุ่น (พรรคคริสเตียน เดโมแครต / CDU) ที่เมืองปอตสดัมเมื่อวันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม 2553 ว่า ความพยายามที่จะสร้างเยอรมันให้เป็นสังคมพหุวัฒนธรรมนั้น ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะกับคนตุรกี-มุสลิมอพยพกว่า 4 ล้านคน ซึ่งเป็นคนอพยพกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมัน
นางเมอร์เคลกล่าวว่า ความคิดที่ว่า ผู้คนที่แม้จะมาจากต่างวัฒนธรรมแต่ก็สามารถอยู่ร่วมเป็นเพื่อนบ้านกันไปได้ เองนั้น คงจะไม่เป็นผลแล้ว เธอกล่าวว่า
เมื่อเริ่มทศวรรษที่ 60 เราชวนคนงานต่างชาติเข้ามาทำงานในเยอรมัน [เพียงชั่วคราว แต่] ตอน นี้พวกเขาก็มาอาศัยอยู่ในประเทศของเราแล้ว พวกเราก็ปลอบใจตัวเองมาตลอดว่า พวกเขาจะอยู่ไม่นาน เดี๋ยวสักพักพวกเขาก็จะกลับไปเอง ซึ่งมันก็ไม่เคยเป็นจริงเลย[i] ..... ดูเหมือนนโยบายพหุวัฒนธรรมแบบที่เราทำมานี้จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ..... และคงไม่สามารถแก้ไขความล้มเหลวที่สั่งสมมากว่า 30-40 ปี ได้เร็วนัก[ii]
ทั้งนี้อาจไม่ได้หมายความว่านางเมอร์เคลจะกลายเป็นนักชาติ นิยมขวาจัดไปแล้ว เพราะเธอยังคงย้ำอย่างชัดเจนว่า เยอรมันยังคงต้อนรับผู้อพยพอยู่ รวมทั้งเธอยังอ้างถึงคำกล่าวของประธานาธิบดีเยอรมัน นายคริสเตียน วูล์ฟ ที่ว่า อิสลามเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเยอรมันเช่นเดียวกับคริสเตียนและยิว นอกจากนี้นางเมอร์เคลยังได้กล่าวว่า
เราจะต้องไม่ทำให้ชาติ อื่นเข้าใจว่า เยอรมันไม่ต้อนรับผู้อพยพที่ไม่พูดภาษาเยอรมัน หรือไม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบเยอรมัน เพราะนั่นจะทำให้ประเทศเราเสียหายอย่างหนัก นอกจากนี้หากเราไม่ต้อนรับแรงงานอพยพที่มีฝีมือ บริษัทต่างๆ ก็จะพากันย้ายไปที่อื่นหมดเพราะพวกเขาไม่สามารถหาคนงานที่มีความสามารถมาทำ งานได้[iii]
ใน ด้านหนึ่งก็กล่าวได้ว่า ใจความหลักที่นางเมอร์เคลเสนอก็คือ แม้การผสมผสานคนต่างวัฒนธรรมที่ผ่านมาจะไม่ประสบผลสำเร็จแต่ก็จำเป็นต้องทำ ให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ และผู้อพยพก็จำเป็นต้องช่วยออกแรงด้วย โดยพวกเขาต้องยอมรับเช่นกันว่าพวกเขาต้องเรียนและใช้ภาษาเยอรมันให้ได้อย่าง คล่องแคล่ว รวมทั้งต้องปรับตัวเข้าหาค่านิยมของชาวเยอรมันทั่วไปให้ได้

การกลับมาของความเกลียดชัง
อย่างไรก็ดี ทั้งท่วงทำนองและเนื้อหาที่นางเมอร์เคลกล่าวออกมาโดยรวม ก็ยังคงสร้างความกังวลใจให้กับผู้คนหลายฝ่าย โดย เฉพาะอย่างยิ่งการแสดงความเห็นของนางเมอร์เคลครั้งนี้ออกจะผิดกาละเทศะอยู่ มาก เพราะก่อนหน้านั้นไม่นานเพิ่งเกิดกรณีน่าตกตะลึงเมื่อ นายธิโล ซาร์ราซิน เจ้าหน้าที่อาวุโส ธนาคารกลางเยอรมัน ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ "เยอรมันทำลายตัวเอง" เนื้อหานั้นก็เต็มไปด้วยอคติเหยียดหยามคนตุรกีและชาวมุสลิมอพยพอย่างรุนแรง และกล่าวว่าคนอพยพเหล่านี้ "ไม่เต็มใจหรือไม่ก็ไร้ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสังคมตะวันตก"[iv] นอกจากนี้ยังได้แสดงความเห็นที่น่าขนลุกด้วยว่า "พวกยิวก็มีเชื้อไม่ดีเหมือนกับพวกมุสลิมด้วย"[v]
แน่ นอนว่า การแสดงความเห็นที่มีอคติเชิงชาติพันธุ์อย่างรุนแรงจากบุคคลระดับนำ เป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็ดขาดของสังคมเยอรมันนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลก ครั้งที่สอง การแสดงความเห็นของนายซาราซินครั้งนี้จึงตามมาด้วยเสียงประณามอย่างรุนแรง จากหลายฝ่าย รวมทั้งนางเมอร์เคลที่ประณามว่า "[นี่]เป็นสิ่งที่รับไม่ได้โดยสิ้นเชิง"[vi] สุด ท้ายแล้ว นายซาราซินก็ถูกบีบด้วยแรงกดดันจนต้องประกาศลาออกจากงาน แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือหนังสือของเขาติดอันดับหนังสือขายดี เพียงสามสัปดาห์แรกก็ขายไปได้กว่า 8 แสนเล่ม[vii] นั่นหมายความว่ามีคนเยอรมันจำนวนมากที่อาจจะเห็นด้วยกับนายซาราซิน
นัก วิเคราะห์บางท่านอธิบายว่า การที่หนังสือของนายซาราซินขายได้อย่างมากมาย ก็เพราะคนเยอรมันจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่ต่างไปจากนายซาราซินเลย ชนชั้นกลางเยอรมันส่วนหนึ่งเริ่มจะเชื่อว่าความตกต่ำด้านการศึกษาของชาติอาจ เกี่ยวข้องกับปัญหาผู้อพยพ ส่วนคนเยอรมันที่ไม่ได้มีการศึกษาสูงนักต่างรู้สึกว่าคนตุรกีมาแย่งงานของพวกเขาไปหมด ในงานศึกษาโดยมูลนิธิฟรีดริช อีเบิร์ต พบว่า 1 ใน 3 (34.3%) ของคนเยอรมันที่ทำการสำรวจ เชื่อว่าผู้อพยพกว่า 16 ล้านคนเข้ามาเยอรมันเพียงเพื่อหวังพึ่งพิงสวัสดิการ กว่า 3 ใน 5 เห็นว่าควรจะต้องควบคุมการประกอบศาสนกิจของคนมุสลิมอย่างจริงจังมากขึ้น นอกจากนี้พบว่า 1 ใน 3ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าประเทศเยอรมันกำลังถูกรุกรานโดยคนต่างชาติ และมากกว่า 1 ใน10 ของกลุ่มตัวอย่างอยากให้มีผู้นำที่แข็งแกร่งแบบฮิตเลอร์มาปกครองประเทศ[viii]
Bild Zeitungหนังสือพิมพ์หัวสีรายใหญ่ของเยอรมันก็เคยนำเสนอความเห็นว่า ประเทศเยอรมันกำลังถูกยึดโดยวัฒนธรรมต่างด้าว รวมทั้งแสดงความเห็นว่าการดำเนินนโยบายพหุวัฒนธรรมที่ผ่านมานั้นเป็นความบ้าบอสิ้นดี[ix] นอกจากนี้ผลสำรวจความคิดเห็นของบางสำนักไปไกลถึงกับพบว่า หากพรรคการเมืองใดนำนโยบายต่อต้านคนมุสลิมและผู้อพยพของนายซาราซินไปใช้ พรรคการเมืองนั้นจะได้เสียงสนับสนุนจากการเลือกตั้งถึงร้อยละ 15 ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากพอจะสั่นสะเทือนการเมืองเยอรมันได้เลย[x] ที่สำคัญคือ คนที่แสดงความเห็นแบบนี้ไม่ได้มีแต่พวกอนุรักษ์นิยมเท่านั้นแต่ยังมาจากคน ที่มีความเห็นทางการเมืองกลางๆ และอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ ศ.เอิร์นซ์ เอลิตซ์ นักวิชาการด้านสื่อคนสำคัญในเยอรมันจึงกล่าวว่า "แม้ นายซาราซินจะเป็นความน่าอับอายของประเทศนี้ แต่ความน่าอับอายยิ่งกว่าก็คือสิ่งที่นายซาราซินเขียนไว้ในหนังสือเป็นสิ่ง ที่ชาวเยอรมันรู้กันดีอยู่แล้ว แต่กลับไม่มีใครทำอะไรสักอย่างเลย"[xi]
แม้คนงานตุรกีอพยพจะเข้ามาอยู่ในประเทศเยอรมันถึงคนรุ่นที่สามแล้ว แต่คนตุรกีก็ยังคงเป็น "คนอื่น"
กล่าวได้ว่าชุมชนตุรกีอพยพถูกกันออกจากสังคมเยอรมันตั้งแต่เริ่มต้น ในตอนแรกก็จัดให้คนงานตุรกีอาศัยอยู่เฉพาะเขตชานเมือง เวลาทำงานก็จัดรถบัสรับ-ส่งระหว่างที่พักกับโรงงานให้ คน เยอรมันในเมืองจึงแทบจะไม่ได้พบเห็นคนงานตุรกีเหล่านี้ จากนั้นเมื่อคนงานตุรกีเริ่มแต่งงานสร้างครอบครัว แม้พวกเขาจะเริ่มขยับเข้ามาอาศัยใกล้เขตเมืองมากขึ้น แต่พวกเขากลับไม่ได้ขยับเข้าใกล้สังคมคนเยอรมันเลย ตรงกันข้ามพวกเขาเริ่มสร้างชุมชนของตัวเองขึ้นมา คนงานอพยพบางคนเริ่มหันมาเปิดร้านขายอาหาร บ้างก็เปิดร้านขายของกินของใช้ เริ่ม เปิดร้านกาแฟ และเปิดสารพัดร้านค้าไปจนถึงการตั้งมัสยิด คนตุรกีจึงแทบจะไม่ต้องพึ่งพิงหรือไปซื้อหาอะไรเพิ่มเติมจากคนเยอรมันอีกเลย
นอกจากนี้การที่กว่าร้อยละ 80 ของลูกหลานชาวตุรกีอพยพไม่สามารถพูดภาษาเยอรมันได้ จึงทำให้คนเยอรมันจำนวนมากยังคงรู้สึกว่าชุมชนคนตุรกีเป็น "ชุมชนคู่ขนาน" หรืออีกนัยหนึ่งคือชุมชนที่แปลกแยกไปจากสังคมเยอรมัน[xii] นอกจากความความรู้สึกห่างเหินและแปลกหน้าแล้ว การที่คนตุรกีอพยพบางส่วนยังคงรักษาค่านิยมที่ขัดแย้งกับวิถีสังคมฆารวาสแบบ ตะวันตก เช่น การแต่งงานแบบคลุมถุงชน การฆ่าญาติพี่น้องเพื่อรักษาเกียรติยศวงศ์ตระกูล[xiii] การที่ครูสอนศาสนาบางคนเผยแพร่อุดมการณ์แห่งความเกลียดชังจนทำให้เยอรมันกลายเป็นชุมทางของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในยุโรป[xiv] รวมไปถึงความเชื่อของคนเยอรมันระดับล่างที่ว่าคนตุรกีแย่งงานของพวกเขาไปหมด สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเยอรมันส่วนหนึ่งเลือกที่จะไม่ยอมรับคนตุรกีและผู้อพยพตราบจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
พหุวัฒนธรรมล้มเหลวจริงหรือ?
แน่นอนว่าสังคมเยอรมันในปัจจุบันยังคงห่างไกลจากการเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม แต่ การกล่าวว่าการดำเนินนโยบายนี้ล้มเหลวก็ชวนให้ถามต่อไปว่า นโยบายนี้เป็นสิ่งที่มีปัญหาในตัวเองจริงๆ หรือสังคมเยอรมันเองที่มีปัญหาจนยากที่จะนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ได้กันแน่ ผู้ เขียนเห็นว่าทางหนึ่งที่อาจช่วยให้เราตอบคำถามนี้ได้ก็คือการกลับไปทบทวน ประวัติศาสตร์การดำเนินนโยบายพหุวัฒนธรรมในประเทศเยอรมัน อย่างน้อยเพื่อให้เห็นถึงที่มาที่ไปของความคิดเรื่องพหุวัฒนธรรมนิยม และเพื่อคลี่คลายให้เห็นว่าการผลักดันแนวคิดนี้ต้องปะทะกับกระแสความคิดแบบใดและใครบ้าง
พรรคกรีนที่เน้นขับเคลื่อนเรื่องสันติภาพ พลังงาน และการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ได้เริ่มนำเสนอแนวคิดพหุวัฒนธรรมเป็นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 ที่ เมืองแฟรงเฟิร์ต ส่วนหนึ่งเพราะต้องการป้องกันปัญหาการทำร้ายผู้อพยพด้วยเหตุผลการเหยียด เชื้อชาติที่ระบาดหนักในหลายเมืองฝั่งตะวันออก (อดีตประเทศเยอรมันตะวันออก) ไม่ ให้ลุกลามข้ามมาในฝั่งตะวันตก และที่เลือกเมืองแฟรงเฟิร์ตเพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่มีผู้อพยพอาศัยอยู่มาก ที่สุดในประเทศแล้ว ยังเป็นเมืองการค้านานาชาติที่น่าจะคุ้นเคยดีในการติดต่อกับคนต่างชาติต่าง วัฒนธรรม คล้ายกับเมืองชุมทางการค้าในอดีตก่อนยุครัฐชาติที่ความมั่งคั่งของเมือง สัมพันธ์กับความหลากหลายของสินค้าและพ่อค้าที่เข้ามาติดต่อค้าขาย ที่สำคัญคือชาวเมืองแฟรงเฟิร์ตให้การสนับสนุนนโยบายนี้เป็นอย่างดี
พรรค กรีนเริ่มต้นดำเนินนโยบายพหุวัฒนธรรมด้วยการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารงานเทศ บาลเมืองแฟรงเฟิร์ต ด้วยการตั้งหน่วยงานใหม่นั่นคือ สำนักงานกิจการพหุวัฒนธรรม (AMKA)[xv] ไว้ที่ยอดสุดของโครงสร้างการบริหาร โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้แนวคิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมเป็นหลักการพื้นฐานในการดำเนินงานของทุกหน่วยงาน กล่าวให้ง่ายขึ้นก็คือ AMKA ตั้ง ขึ้นมาเพื่อปรับแนวคิดและวิธีการทำงานของส่วนบริหารงานเมือง แฟรงเฟิร์ตทั้งหมดให้สอดคล้องและตระหนักถึงค่านิยมใหม่เรื่องพหุวัฒนธรรม[xvi]งานสำคัญประการต่อมาของ AMKA ก็ คือ การผลักดันแนวคิดพหุวัฒนธรรมให้เข้าถึงผู้คนทั่วไป ด้วยการเน้นการสร้างกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมเพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างชุมชนหรือ กลุ่มคนต่างๆ จึงอาจกล่าวได้ว่างานหลักของ AMKA ก็คืองานส่งเสริมให้เกิดกระบวนการสื่อสารระหว่างผู้คนและชุมชนนั่นเอง
การ ดำเนินงานผลักดันนโยบายพหุวัฒนธรรมในเมืองแฟรงเฟิร์ตประสบความสำเร็จอย่าง สูง โดยเฉพาะหากเปรียบเทียบระหว่างแฟรงเฟิร์ตกับเมืองอื่นๆ แฟรงเฟิร์ตแทบไม่มีการเดินขบวนของกลุ่มเหยียดเชื้อชาติ นอก จากนี้พวกชาตินิยมขวาจัดก็ยังไม่สามารถจัดตั้งพรรคการเมืองระดับท้องถิ่น ขึ้นได้ และแม้ในช่วงหลัง พรรคอนุรักษ์นิยมที่ต่อต้านนโยบายพหุวัฒนธรรมมาโดยตลอดอย่างพรรค CDU จะได้เสียงข้างมากในสภาเทศบาลเมืองแฟรงเฟิร์ต แต่ก็ยังคงสานต่อการดำเนินนโยบายพหุวัฒนธรรมและการดำเนินงานของ AMKA ต่อไป
ด้วยความสำเร็จดังกล่าวทำให้พรรคกรีนเกิดความมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถผลักดันนโยบายพหุวัฒนธรรมให้เป็นที่ยอมรับของทั้งประเทศได้ ดังนั้นหลังจากที่พรรคกรีนกับพรรคสังคมประชาธิปไตย (SPD) ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลผสมได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1998 (หรือที่คนเยอรมันเรียกในเวลาต่อมาว่า รัฐบาลผสม แดง-เขียว) พรรคกรีนก็เริ่มต้นงานที่ท้าทายที่สุดเป็นอันดับแรกนั่นคือ การ ปฏิรูปแนวคิดเรื่องความเป็นพลเมืองเยอรมันด้วยการผลักดันให้มีการแก้ไข กฎหมายว่าด้วยพลเมืองเสียใหม่ จากเดิมที่กำหนดว่าบุคคลผู้จะได้รับสัญชาติและสิทธิพลเมืองเยอรมันจะต้อง เป็นบุคคลผู้มีสายเลือดเยอรมันเท่านั้น พรรคกรีนเสนอให้เปลี่ยนไปถือตามหลักการให้สิทธิพลเมืองและสัญชาติตามถิ่น กำเนิด นั่นหมายถึงเป็นครั้งแรกที่ลูกหลานของผู้อพยพจะมีสิทธิได้รับสัญชาติและ สถานภาพพลเมืองเยอรมัน หากพิสูจน์ได้ว่าครอบครัวของเขาได้เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศเยอรมันอย่างถูก กฎหมายเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 8 ปี รวมทั้งยังได้รับสิทธิให้ถือหนังสือเดินทางสองประเทศได้จนถึงอายุ 23 ปี กฎหมายดังกล่าวผ่านสภาและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2000
นอกจากนี้พรรคกรีนยังได้เรียกร้องให้รัฐและฝ่ายการเมืองยอมรับว่าเยอรมันเป็นประเทศผู้อพยพ เรียกร้องให้เคารพวัฒนธรรมของผู้อพยพด้วยการนำวิธีการผสมผสานทางวัฒนธรรม (integration) มาใช้ แทนที่จะใช้แนวคิดกลืนกลายวัฒนธรรม (assimilation) ของผู้อพยพให้เป็นวัฒนธรรมเยอรมัน รวม ทั้งยังผลักดันให้ผู้อพยพเข้ามามีส่วนร่วมในสังคมเยอรมันอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนให้ผู้อพยพเรียนภาษาเยอรมัน ไปจนถึงการสนับสนุนให้ผู้อพยพมีส่วนร่วมทางการเมือง การถกเถียง การออกกฎหมาย หรือแม้แต่การมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เช่น หลายประเทศในกลุ่มยุโรปเหนือ[xvii]
กล่าว ได้ว่า การแก้ไขกฎหมายพลเมืองอาจเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ สมัยใหม่ของสังคมเยอรมัน เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการท้าทายแนวคิดพื้นฐานของสังคมอย่างถึงราก นั่นคือ หลักการเรื่องสิทธิพลเมืองและสัญชาติต้องได้รับผ่านทางสายเลือด (ius sanguinis) ซึ่งเป็นมรดกตกทอดทางความคิดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าจักรพรรดิ์วิลเลียมที่ 2 (ค.ศ. 1913)
การที่รัฐชาติเยอรมันสร้างขึ้นมาจากฐานคิดเรื่อง "รัฐเดียว-ชนชาติเดียว" และ "พลเมืองคือผู้มีสายเลือดเยอรมันเท่านั้น" นี่ จึงไม่ใช่แค่การปิดประตูรับคนต่างชาติสู่การเป็นพลเมืองเยอรมัน แต่ยังกลายเป็นการวางรากฐานให้ความเชื่อเรื่องความเฉพาะพิเศษของชนชาติตน ซึ่งได้นำไปสู่ความเชื่อเรื่อง ชนชาติตนเหนือและยิ่งใหญ่กว่าชนชาติอื่นในสมัยนาซี ดังนั้นแม้ประเทศเยอรมันในปัจจุบันจะผ่านกระบวนการ "ถอดถอนความคิดนาซี" (denazification) ไปแล้ว แต่ความเชื่อเรื่อง "ชาติและสายเลือดเยอรมัน" ยังคงไหลเวียนอยู่อย่างเข้มข้นในสังคมเยอรมันกระแสหลัก การปฏิรูปกฎหมายพลเมืองของพรรคกรีนจึงสร้างความตึงเครียดให้กับสังคมเยอรมันอย่างมาก พรรคการเมืองปีกอนุรักษ์นิยมนำโดยพรรค CDU ได้ออกรณรงค์ต่อต้านอย่างเต็มที่โดยหันมาชูแนวคิดเรื่อง วัฒนธรรมเยอรมันคือวัฒนธรรมหลัก (Leitkulture) และการกลืนกลายทางวัฒนธรรม เพื่อต่อสู้กับแนวคิดพหุวัฒนธรรมของพรรคกรีน ผลก็คือ การรณรงค์ต่อต้านได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง สวนทางกับคะแนนนิยมของพรรคกรีนที่ดิ่งลงอย่างฮวบฮาบไม่เว้นแม้กระทั่งในเมืองแฟรงเฟิร์ตซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพรรค
การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นงานสำคัญลำดับต่อมาของพรรคกรีนจึงต้องใช้เวลาถึงกว่า 6 ปี จึงจะผลักดันผ่านสภาได้สำเร็จ แต่กระนั้นสาระและเนื้อหาก็ถูกเบี่ยงเบนไปมากจนทำให้กฎหมายดังกล่าวมีหลัก คิดที่ขัดแย้งในตัวเองสูง เพราะทั้งสนับสนุนและปฏิเสธการอพยพเข้าไปพร้อมกัน เช่น กฎหมายฉบับนี้ ผ่อนปรนและสนับสนุน "เฉพาะคนงานต่างชาติที่ความรู้ความเชี่ยวชาญสูง" ให้สามารถอพยพเข้าประเทศได้ง่ายขึ้น เพราะประเทศเยอรมันกำลังขาดแคลนแรงงานมีฝีมืออย่างหนัก[xviii] ซึ่งนั่นก็นำไปสู่คำถามว่า กฎหมายดังกล่าวกำลังแบ่งประเภทผู้อพยพออกเป็นกลุ่มแรงงานที่มีคุณค่า กับกลุ่มผู้อพยพที่ไร้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ลดคุณค่าของคนลงเป็นเพียงสิ่งของ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครื่องจักรทางเศรษฐกิจ คุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้อพยพจึงแทบไม่มีความสำคัญในการพิจารณา
สังคมไทยควรเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง
ผู้ เขียนเห็นว่าสิ่งสำคัญประการแรกที่สังคมไทยรวมทั้งสังคมโลกควรจะต้องเรียน รู้คือ ความเกลียดชังและการเบียดเบียน เป็นความจริงที่สุดของมนุษย์ เราควรทำใจยอมรับว่ามนุษย์ไม่อาจอยู่ร่วมกันโดยสันติได้จริง หากจะมีก็แค่เพียงชั่วคราวด้วยการการกดข่มหรือเบี่ยงเบนความเกลียดชังเท่า นั้น
ประการ ต่อมา ผู้เขียนเห็นว่ามนุษย์ยินดีเสมอที่จะยกเอาเหตุผลหรือสิ่งใดก็ตามมาเป็นข้อ อ้างเพื่อจะเกลียดชังกัน เพื่อจะแบ่งแยกกัน และเพื่อจะเบียดเบียนกัน โดยเฉพาะเหตุผลด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และการเมือง สิ่งเหล่านี้มักนำไปสู่การฆ่าและความตายมากกว่าความรักและความเมตตา ในแง่นี้การพูดถึงขันติธรรมซึ่งเป็นหลักการสำคัญของแนวคิดพหุวัฒนธรรม หรือแม้แต่การพูดถึงการให้อภัยซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการเมืองแบบสันติ วิธี นี่จึงเป็นเพียงความพยายามที่สิ้นหวัง เพราะเราไม่มีทางออกให้กับสิ่งที่อดทนไม่ได้ หรือสิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นความขัดแย้งที่มุ่งทำลายความเชื่อและอุดมการณ์ ของฝ่ายตรงข้าม
สำหรับ ผู้เขียนแล้ว ขันติธรรมและการให้อภัย จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะนำมาใช้กับสังคมและผู้คนที่ยังมีตัวตนมีความยึด มั่นถือมั่นกับความเชื่อของตนเอง ขันติ ธรรมและการให้อภัยจะมีความหมายและใช้ได้จริงก็ต่อเมื่อบุคคลหรือสังคมนั้น ต้องการเดินทางสู่วิถีแห่งการปล่อยวางลดละความยึดมั่นถือมั่นความคิดความ เห็นและตัวตนแล้ว แต่กระนั้นนี่ก็ดูจะเป็นวิถีที่มีแต่จะพามนุษย์ห่างออกจากโลก ซึ่งในด้านหนึ่งก็อาจจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งที่คนทั่วไปต้องการแต่ อย่างใด
******************************************
[xii] A 2009 study by the Berlin Institute for Population and Development
http://frontpagemag.com/2010/10/22/germany-confronts-the-failure-of-multiculturalism/
[xiii] http://www.spiegel.de/international/germany/0,1518,554866,00.html , http://www.spiegel.de/international/0,1518,344374,00.html , http://news.bbc.co.uk/2/hi/europe/4345459.stm
[xvi] Frank Eckardt, "Multiculturalism in Germany: From Ideology to Pragmatism -- and Back?" National Identities, Vol. 9, No. 3, September 2007, pp. 235-245.
[xviii]
ภาพประกอบจาก http://www.spiegel.de/international/germany/bild-714643-125855.html
นันทวัฒน์ ฉัตรอุทัย
นักวิชาการ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
|