ภูมิปัญญา “ปกาเกอะญอ” สานต่อที่มอวาคี การบูรณาการหลักสูตรท้องถิ่น โรงเรียนชุมชนมอวาคี จ. เชียงใหม่
บทความโดย :
โดยทีมงาน | โพสเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2555 16:42 น.
อากาศที่เชียงใหม่วันนี้สดใสและแช่มชื่น ตลอดการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงจากตัวเมืองเชียงใหม่ สู่หมู่บ้านมอวาคี ต. แม่วิน จ. เชียงใหม่ สมบุกสมบันพอสมควร ลมเย็นหอบกลิ่นป่ามาปะทะอยู่ตลอด ในฐานะมือใหม่หัดลุย จึงนั่งลุ้นไปตลอดทาง แต่ใจหนึ่งก็อดลุ้นไม่ได้ว่า “มอวาคี” ต้องมีอะไรดีแน่ๆ เพื่อให้คุ้มค่ากับการบุกป่าฝ่าเหวมาถึงที่นี่
“หมู่บ้านมอวาคี” ความหมายตามภาษาปกาเกอะญอ แปลว่า บ้านห้วยหนองน้ำขาว หรือชื่อราชการ คือ บ้านหนองมณฑา เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ ตั้งอยู่ที่หมู่ 16ต.แม่วิน อ. แม่วาง จ.เชียงใหม่ ในหมู่บ้านมีโรงเรียนชุมชนมอวาคี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535 โดยชาว ปกาเกอะญอมอวาคี และสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย(ศ.ว.ท.หรือIMPECT) ได้ประสานความร่วมมือกับศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเชียงใหม่ ใช้ชื่อว่าศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาบ้านมอวาคี ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์การเรียนชุมชนแม่ฟ้าหลวงบ้านหนองมณฑา(มอวาคี)” ปัจจุบัน มีคณะครู 5 คน และปราชญ์ชาวบ้าน 4 คน และมีนักเรียน ปกาเกอะญอประมาณ 70 คน โดยมีวิสัยทัศน์เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนมอวาคีมีความรู้ทั้งทางวิชาการ วิชาชีพ มีคุณธรรม จริยธรรมที่ดีงาม เห็นคุณค่าของภาษาและวัฒนธรรมปกาเกอะญอและสามารถใช้ภูมิรู้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
รู้เราและรู้เขา : การสอนเชิงบูรณาการประสานหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรท้องถิ่น
ครูนารีรัตน์ จ๊ะโค ครูใหญ่โรงเรียนชุมชนมอวาคีได้เล่าจุดประสงค์ของการเรียนการสอนบูรณาการประสานหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรท้องถิ่นว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของกลุ่มชน รู้จักและรักษ์ป่า สอนให้สำนึกในวิถีของปกาเกอะญอ มีการสอนภาษาปกาเกอะญอทั้งฟัง พูด อ่านและเขียน ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ภาษาของกลุ่มชน
“เดิมมีสอนแต่ภาษาไทย จึงมีคำถามว่าเราจะสอนภาษาปกาเกอะญอควบคู่ไปด้วยได้ไหม ที่สุดก็ตกลงว่าจะสอน 2 ภาษา คือ มีการเรียนเขียน อ่าน พูดภาษาปกาเกอะญอเป็นเรื่องหลัก แล้วสอนเชื่อมโยงกับภาษาไทย อังกฤษโดยบูรณาการระหว่างหลักสูตรแกนกลางของ สพฐ.กับหลักสูตรท้องถิ่น และให้ผู้เฒ่าผู้แก่มาสอนคติ ภูมิปัญญา องค์ความรู้ในการจัดการป่า รักษาป่า รักษาน้ำ การปลูกฝังเด็กรุ่นใหม่ให้เรียนรู้คุณค่าของภูมิปัญญาปกาเกอะญอ ก่อนที่ภูมิปัญญาจะสูญหายไปพร้อมกับคนรุ่นปู่รุ่นย่า ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องปลูกกล้าใหม่ นอกจากนี้ เรายังปรับปรุงหลักสูตรอยู่ตลอด เพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกพร้อมๆกับปลูกฝังอัตลักษณ์ปกาเกอะญอไปพร้อมๆ กัน”
ขุนเขา ไร่ข้าว และหมู่บ้าน คือ ห้องเรียนรู้โลก
กว่า19 ปีแล้วที่หมู่บ้าน ไร่ข้าว ลำธาร และผืนป่าแห่งมอวาคี ทำหน้าที่เป็นทั้งบ้านและห้องเรียนให้แก่นักเรียนปกาเกอะญอรุ่นเยาว์เพื่อเรียนรู้วิถีและวัฒนธรรมของกลุ่มชน “ห้องเรียน” ที่ไม่ได้เรียนเพื่อแก่งแย่งแข่งขันเพื่อทำเกรดสูงๆ ห้องเรียนที่มิได้เรียนเพื่อเป้าหมายเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่เป็นห้องเรียนที่เรียนชื่อต้นไม้ รู้จักป่า รู้จักแมลง ลำธาร พันธุ์พืช เรียนรู้เกี่ยวกับท้องฟ้า ดูเมฆ ดูแสงแดด ดูลม เรียนรู้ความคิด วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญา และปลูกสำนึกความเป็นปกาเกอะญอควบคู่กับการเรียนรู้แกนกลางตามมาตรฐาน สพฐ. แห่งบ้านมอวาคี
ครูนารีรัตน์ เล่าเสริมว่า “นอกจากการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางในห้องเรียนแล้ว ยังส่งเสริมการเรียนรู้ในป่า สมุนไพร การจัดการป่า การดูแลป่า มีข้อห้ามอย่างไร พิธีกรรมในไร่ข้าว เซ่นไหว้อย่างไร เรียนรู้และปฏิบัติจริง การเข้าไปเรียนในป่า สมุนไพร ต้น ไม้การจัดการป่า ข้อห้าม พิธีกรรม ในชุมชน พาเด็กไปเรียนรู้ ร่วมพัฒนาชุมชน”
หลักสูตรระดับประถมศึกษา โรงเรียนชุมชนมอวาคี(บ้านหนองมณฑา) พุทธศักราช 2553
สาระการเรียนการสอน
การใช้ภาษา ฟัง พูด อ่าน เขียน วรรณกรรมสุภาษิต บทธาด้วยภาษาปกาเกอะญอ 160 ชั่วโมง/ปี
ค่ายศึกษาวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เรื่องป่า คุณธรรมและจริยธรรม 80 ชั่วโมง/ปี
อาชีพในท้องถิ่น หัตถกรรมท้องถิ่น เครื่องนุ่งห่ม เครื่องจักสาน เครื่องตีเหล็ก 80 ชั่วโมง/ปี
ดนตรีปกาเกอะญอ บทธา ธากล่อมเด็ก 80 ชั่วโมง/ปี
เรียนรู้ท้องถิ่น แหล่งอาหารในธรรมชาติ ตำรับอาหาร การฝึกทำอาหาร สมุนไพร 80 ชั่วโมง/ปี
ประวัติศาสตร์ชุมชน 40 ชั่วโมง/ปี
เศรษฐกิจชุมชน ไร่หมุนเวียน นาไร่ การเก็บรักษาพันธุ์พืช 40 ชั่วโมง/ปี
การดูแลสุขภาพ การละเล่นพื้นบ้าน อาหารในวัฒนธรรม 80 ชั่วโมง/ปี
ประวัติศาสตร์ ตำนานหมู่บ้าน ตำนานชนเผ่า แผนที่หมู่บ้าน 40 ชั่วโมง/ปี
กฎ จารีตและเพณีและการปกครองพื้นบ้าน ครอบครัว เครือญาติ พิธีกรรม การเก็บของป่า 80 ชั่วโมง/ปี
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม เรียนรู้นิทานและตำนาน ภาษาและภูมิปัญญา ปกาเกอะญอ 80 ชั่วโมง/ปี
ภาษาต่างประเทศ 40 ชั่วโมง/ปี
รวม 840 ชั่วโมง/ปี
ในด้านผลสัมฤทธิ์ ครูนารีรัตน์ เล่าว่า “ตอนแรกก็กังวลว่านักเรียนที่ไปเรียนต่อที่อื่น จะอ่อนเรื่องหลักสูตรแกนกลาง กังวลว่าเมื่อเรียนต่อแล้วจะมีปัญหาไหม แต่ผลที่ออกมาคือ นักเรียนสามารถนำความรู้แกนกลางและความรู้เชิงวัฒนธรรมที่เรียนจากโรงเรียนชุมชนมอวาคีไปเรียนต่อในโรงเรียนประจำอำเภอได้เป็นอย่างดี”
“การเรียนการสอนหลักสูตรบูรณาการผสมผสานหลักสูตรแกนกลางของ สพฐ. ควบคู่กับหลักสูตรท้องถิ่นจึงเป็นแนวทางที่สร้างองค์ความรู้ให้แก่เยาวชนมอวาคีอย่างแท้จริง ทั้งนี้เห็นว่าความรู้หลักสูตรแกนกลางมีความจำเป็นที่เยาวชนมอวาคีจะต้องเรียนรู้เพื่อให้สามารถเรียนต่อได้ในระดับสูง ส่วนหลักสูตรท้องถิ่นที่นำความรู้ ภูมิปัญญา และผู้รู้ท้องถิ่นให้มีส่วนร่วมในการถ่ายทอดวัฒนธรรมนั้น เราเห็นว่า เป็นมากกว่าความรู้ แต่เป็นชีวิต เป็นวิถีของเราใช้กันอยู่ทุกวันในมอวาคี เป็นคติเป็นวิถีชีวิตที่หล่อเลี้ยงชาวปกาเกอะญอมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งการให้ผู้เฒ่าในหมู่บ้านมีส่วนร่วมในการอบรมภาษา จัดกิจกรรมให้นักเรียนกลับไปถามปู่ย่าตายายถึงบทธา นิทาน ตำนาน แล้วกลับมาเล่าแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งนอกจากจะเรียนรู้นิทาน และความเป็นมา ประวัติศาสตร์ของกลุ่มชนแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และยิ่งเสริมให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมาก”
จากจุดนี้ถือการจัดการเรียนการสอนผสมผสานทั้งแกนกลางและส่งเสริมการเรียนภูมิปัญญาวัฒนธรรมปกาเกอะญอ นักเรียนก็จะได้เรียนรู้ทั้งสองระบบอย่างสมดุลและมีความสุข เป็นการจัดการด้วยชาวปกาเกอะญอ เพื่อลูกหลานปกาเกอะญอ และเพื่อชุมชนปกาเกอะญอที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง
“ข่อเต่อปาแลต่าเต่อตือ ข่อคีปาตือชรี่ตือคื๊อ”
“มีขาเดียวมันไม่สามารถเดินไปทางไปไหนได้ มีสองขาเดินถึงไร่ถึงนา”
พ่อหลวงจอนิ โอโดเชา หนึ่งในที่ปรึกษาโรงเรียนได้เสนอทัศนะต่อการเรียนการสอนของโรงเรียนชุมชนมอวาคีว่า “ข่อเต่อปาแลต่าเต่อตือ ข่อคีปาตือชรี่ตือคื๊อ” ซึ่งหมายถึง “มีขาเดียวไม่สามารถเดินไปไหนได้ ต้องมีสองขา เดินซ้ายและเดินขวา เดินถึงไร่ถึงนา เดินทั้งสองขาในที่นี้คือ เราจะเรียนรู้เฉพาะหลักสูตรแกนกลางอย่างเดียง หรือเราจะเลือกที่จะรู้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งคงไม่ได้ แต่เราต้องรอบรู้วัฒนธรรมของของตนเอง ควบคู่กับวัฒนธรรมอื่นด้วย เหมือนการเดินก็ต้องมีทั้งขาซ้ายและขาขวา จึงจะก้าวไปได้ด้วยดี
“อย่างไรก็ตาม เราก็เห็นว่า ความรู้สามัญในระบบโรงเรียนของ สพฐ. ก็มีความจำเป็น เพื่อให้ลูกหลานชาวปกาเกอะญอมีความรู้รอบทั้งความรู้ในสายสามัญและความรู้ภูมิปัญญาฒนธรรมปกาเกอะญอด้วย เมื่อไปเรียนต่อในโรงเรียนอื่น ก็สามารถเข้าเรียนได้โดยไม่มีปัญหา สามารถเรียนต่อในระดับสูงได้ พร้อมทั้งยังได้รับการปลูกฝังจิตสำนึกรักบ้านเกิด รักบ้านเกิดไปพร้อมๆ กันด้วย”
กิ๊ ศิษย์เก่าโรงเรียนชุมชนมอวาคีได้เล่าประสบการณ์ที่ตนได้รับการศึกษาจากโรงเรียน มอวาคีว่า การเรียนรู้วัฒนธรรมความเชื่อ ภูมิปัญญาของกลุ่มชนทำให้มีความรัก ศรัทธาและผูกพันในความเป็นปกาเกอะญอมากยิ่งขึ้น
“ผมภูมิใจที่รู้ว่ากลุ่มชนเรามีภาษา ตำนาน มีภูมิปัญญา มีวิถีที่ผูกพันกับธรรมชาติ ผมมีความสุขกับความพอเพียงตามวิถีของกลุ่มชนเรา โดยไม่ได้เบียดเบียนทรัพยากร และไม่เบียดเบียดตนเอง เมื่อเรียนจบก็มีความผูกพันกับ “บ้าน” ไม่อยากออกไปทำงานที่อื่น เพราะรู้สึกว่าบ้านเราสุขสงบ ผมจึงเลือกมาสอนดนตรีเดหน่าให้น้องๆสนุกสนานพร้อมกับสืบสานภูมิปัญญาดนตรีพื้นบ้านไปพร้อมๆ กัน”
เพราะร่วมมือ จึงร่วมใจ ทั้งคนใน(ปกาเกอะญอ) รัฐและองค์กรอิสระ
คุณบุญยง โชติชัยพิบูล ผู้อำนวยการสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย (ศ.ว.ท. IMPECT) ได้เล่าถึงการสนับสนุนโรงเรียนชุมชมมอวาคีของ IMPECT ตลอดระยะเวลา 19 ปี
เริ่มต้นจากการวิจัยเก็บรวบรวมองค์ความรู้ของปกาเกอะญอ และจัดร่างเนื้อหาหลักสูตรท้องถิ่นของกะเหรี่ยง คือ หนังสือหลักสูตรท้องถิ่น และแผนการสอนหลักสูตรท้องถิ่น โดยนำร่องในพื้นที่ 5 ชุมชน คือ โรงเรียนบ้านหนองเต่า โรงเรียนบ้านทุ่งหลวง ศศช.บ้านห้วยเกี๋ยง ศศช.บ้านห้วยยาว และ ศศช.บ้านมอวาคี (หนองมณฑา) และในที่สุดก็สามารถพัฒนาเป็นหลักสูตรบูรณาการที่มุ่งการเรียนการสอนทั้งตามหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรท้องถิ่น ดังที่ โรงเรียนชุมชนมอวาคีได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 19 ปี และถือเป็นโรงเรียนแรกและโรงเรียนเดียวที่มีการเรียนการสอนในลักษณะดังกล่าว ทั้งยังประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี โดยที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจาก kinder missionwerk(Germany) ShiminGaikou-center(Japan) (Educational support to poor children) และมี IMPECT เป็นหน่วยงานประสานงาน
นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานรัฐให้ร่วมมือในการดำเนินงาน ได้แก่ ศูนย์การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยองค์การบริหารส่วนตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง สำนักงานการศึกษาเขตการศึกษาเพื่อเด็ก ประสานงานกับศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเชียงใหม่
มติคณะรัฐมนตรี เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง : แสงดาวแห่งศรัทธา
จากมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง หนึ่งในการฟื้นฟูวิถีชีวิตกะเหรี่ยง คือ “การศึกษา ให้ชุมชนมีส่วนในการกำหนดหลักสูตรการศึกษาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรม รวมทั้งสามารถจัดการศึกษาได้ด้วยตนเอง และส่งเสริมการจัดการศึกษาโดยท้องถิ่น โดยมุ่งส่งเสริมนโยบาย "พหุภาษา" เพื่อให้เกิดการยอมรับและเข้าใจในภาษาพูดและภาษาเขียนของกลุ่มชน” ซึ่งก็สอดคล้องกับการส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนโรงเรียนชุมชนมอวาคี ซึ่งบ้านมอวาคีเป็นหนึ่งในชุมชนนำร่องที่จะมีการส่งเสริมและฟื้นฟูการ สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม การจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนชุมชนมอวาคี ตลอด 19 ปี ที่โรงเรียนชุมชนมอวาคีได้ยืนหยัดใช้หลักสูตรการเรียนการสอนอย่างบูรณาการที่สร้างขึ้นจากคนในชุมชน เพื่อเยาวชนในชุมชนอย่างแท้จริงแล้ว
อย่างไรก็ตาม หนทางการบูรณาการลักษณะนี้ยังมีหนทางอีกยาวไกล ในพื้นที่นำร่องอื่นๆ ยังอยู่ในระหว่างการตระเตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถสร้างหลักสูตรที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
“โรงเรียนชุมชนมอวาคี” จึงถือเป็นโครงการนำร่อง โครงการต้นแบบ และอาจเป็นก้าวย่างที่สำคัญ ที่จะให้พื้นที่นำร่องอื่นๆ สามารถนำแนวทางไปปรับใช้เพื่อดำเนินการเรียนการสอนในลักษณะบูรณาการนี้ได้ โดยมีมติ ครม.เป็นแสงดาวแห่งศรัทธานำทางเพื่อให้นโยบายการฟื้นฟูวิถีชีวิตกะเหรี่ยงเป็นนโยบายที่ปฏิบัติการได้อย่างเป็น รูปธรรมก่อประโยชน์เพื่อชาวกะเหรี่ยงมากที่สุด
“ปกา มี เลอะ เปลอมา ดีอี บรรพชนของเราปฏิบัติตามวิถีชีวิต
ปกา ปก่า เลอะ มาดี อี บรรพชนของเราปฏิบัติตามประเพณี
ปก่า เมอ เปอะ มาเพ่าะอะ อะ คี บรรพชนร้องขอลูกหลานปฏิบัติตาม
เปอะเมะ เตอะมา ต่า ดีอี หากลูกหลานไม่ปฏิบัติตาม
ลอหม่า โหม่ เดอ ป่า อะมี ชื่อบรรพชน จะสูญสลายหายไป”
เสียงนักเรียนปกาเกอะญอแห่งบ้านมอวาคีท่องบทธาสอนใจก้องกังวานกลางขุนเขา ณ โรงเรียนชุมชนมอวาคี ในห้องเรียนเรือนไม้ชั้นเดียว บทธาบทนี้ที่หนูน้อยจะไม่ได้เป็นเพียงแค่การท่อง ขับขานเท่านั้น หากจะเป็นบทที่แทรกซึมในจิตใจของปกาเกอะญอรุ่นใหม่ที่ผ่านการบ่มเพาะจากโรงเรียนชุมชนมอวาคีแห่งนี้ด้วย
****************************************
รุ้งตะวัน อ่วมอินทร์
นักวิชาการ
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
|